Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานอบอุ่นหัวใจ

ถุงเก็บแดด : นิทานก่อนนอนอบอุ่นหัวใจสำหรับทุกครอบครัว

นิทานเรื่อง ถุงเก็บแดด เป็นหนึ่งในนิทานที่ผม นำบุญ นามเป็นบุญ มักนำมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกันในช่วงฤดูหนาว เพราะมันเป็นนิทานที่ผมแต่งเองและรักมาก ทั้งในแง่ของเรื่องราว อารมณ์ความรู้สึก และที่มาของแรงบันดาลใจ นิทานเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นนิทานก่อนนอนที่อบอุ่นหัวใจ แต่ยังสะท้อนคุณค่าของความรักในครอบครัวและความหมายของแสงแดดที่ช่วยให้เรามีความหวังท่ามกลางความหนาวเหน็บ

ตอนที่ผมแต่งนิทานเรื่องนี้ ผมจำได้ว่าเป็นช่วงที่อยากเขียนนิทานเกี่ยวกับความรักของพ่อ แต่ในตอนแรกสมองกลับว่างเปล่า ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน จนกระทั่งผมอยากท้าทายตัวเองด้วยการสร้างฉากในดินแดนที่หนาวเย็นมาก ๆ ผมใช้ประสบการณ์ที่เคยไปอยู่ประเทศสวีเดน 1 ปี ซึ่งความหนาวที่นั่นรุนแรงจนพื้นรองเท้าหลุด และกลางวันสั้นเสียจนแสงแดดยามเช้ากลายเป็นสิ่งล้ำค่า ความทรงจำเหล่านี้ทำให้ผมคิดเล่น ๆ ว่า หากมี “ถุง” ที่สามารถ “เก็บแดด” ได้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ภาพชายผู้แบกถุงยักษ์ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอุ่น ๆ จึงเกิดขึ้นในหัว และกลายเป็นนิทานแฟนตาซีที่อบอุ่นท่ามกลางฉากหนาวเหน็บ

แม้ผมจะชอบนิทานเรื่องนี้มาก และเคยเผยแพร่ในเว็บไซต์และเพจหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงหรือให้เสียงตอบรับมากนัก ผมจึงลองทำภาพปกและภาพประกอบใหม่ เพื่อให้คนที่ยังไม่เคยอ่านได้ลองเข้ามาสัมผัสนิทานเรื่อง ถุงเก็บแดด ที่อาจช่วยให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นอีกนิดในวันที่หนาวเหน็บ และหวังว่าจะเป็นนิทานก่อนนอนที่มอบความสุข ความรัก และความหวังให้กับทุกครอบครัว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ท่ามกลางดินแดนหิมะที่หนาวเหน็บ

โยฮัน แคทย่า และเจ้าหนูเอคินเป็นพ่อแม่ลูกชาวน้ำแข็งที่อาศัยอยู่ในบ้านน้ำแข็งหลังเล็ก ๆ หลังนั้น แม้ว่าผู้คนชาวน้ำแข็งจะคุ้นเคยกับความโหดร้ายของอากาศหนาวในแถบขั้วโลกเป็นอย่างดี แต่สำหรับปีนี้ ทั้งกองไฟกองเล็ก ๆ ที่ให้ความอบอุ่นอยู่ภายในบ้าน เสื้อกันหนาวหนาหนักที่พวกเขากำลังสวมใส่กันอยู่ หรือแม้แต่ผ้าคลุมขนสัตว์ที่พวกเขาใช้ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่อาจต้านทานความหนาวติดลบของอากาศภายนอกบ้านเอาไว้ได้

พายุหิมะที่พัดกระหน่ำทั้งกลางวันกลางคืน ทำให้โยฮันซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวบอกภรรยาและลูกชายว่า เขาคงจะต้องออกไปนำเอาความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ที่สองสว่างอยู่ในดินแดนทางตอนใต้ มาใช้ต่อสู้กับความหนาวที่เย้นยะเยือกจากพายุหิมะในครั้งนี้ โยฮันขอให้แคทย่าช่วยเย็บถุงเก็บแดดจากหนังของแมวน้ำที่พวกเขาสะสมกันอาไว้ และเขาบอกกับเจ้าหนูเอคินที่นั่งตาแดงด้วยความเป็นห่วงพ่อว่า เขาจะกลับมาอย่างปลอดภัยพร้อมกับแสงแดดและความอบอุ่น

วันรุ่งขึ้น โยฮันหยิบกิ่งไม้ที่ผูกติดกับถุงเก็บแดดขึ้นพาดบ่า แล้วเริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังดินแดนทางตอนใต้ตังแต่เช้าตรู่ แม้พายุหิมะในขณะนั้นจะสงบนิ่ง แต่เพียงก้าวแรกที่โยฮันย่ำย่างออกจากบ้าน สายลมหนาวบาง ๆ ก็พัดเอาความหนาวเย็นมาปะทะกับตัวเขาจนเขารู้สึกปวดชาไปทั้งตัว โยฮันกัดฟันทนและยึดเอาความรักที่เขามีต่อลูกและภรรยาเป็นพลังในการต่อสู้กับความหนาวเย็นที่อยู่เบื้องหน้า

โยฮันก้าวย่างทีละก้าวด้วยความระมัดระวัง ความลื่นของพื้นหิมะที่เย็นจัดจนกลายเป็นน้ำแข็ง อาจทำให้เขาหกล้มจนเกิดอันตรายได้ตลอดเวลา โยฮันพยายามควบคุมสติของตัวเอง และค่อย ๆ ย่ำเท้าไปอย่างช้า ๆ ทีละก้าว เขาเดินทางโดยไม่มีการหยุดพัก ข้ามเนินเขาหิมะไปทีละลูก และเมื่อเขาเดินทางมาถึงกลางหุบเขาลูกสุดท้าย ปุยหิมะก็ค่อย ๆ โปรยปรายลงมาจากฟ้าแลดูคล้ายกับขนนกบางเบาที่ปลิดปลิวลงมาพร้อมกับความหนาวเย็น

ทันใดนั้นเอง สายลมวูบใหญ่ก็พัดเข้ามาปะทะกับร่างของโยฮันจนเขารู้สึกปวดไปถึงขั้วกระดูก มันป็นความหนาวเหน็บที่เสียดแทงไปทุกรูขุมขน โยฮันรู้ในทันทีว่า นี่ไม่ใช่ความหนาวเย็นของสายลมหนาวธรรมดา ๆ แต่มันเป็นความเย็นยะเยือกที่มาพร้อมกับปิศาจในตำนานที่ชาวน้ำแข็งทุกคนรู้จักกันดี และก่อนทีโยฮันจะทันตั้งตัว ราชินีหิมะก็ปรากฏกายขึ้น

โยฮันรู้สึกว่าเลือดในตัวของเขากำลังจะกลายเป็นน้ำแข็ง ความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของราชินีหิมะทำให้ร่างกายทุก ๆ ส่วนของโยฮันสั่นสะท้านจนเกินกว่าที่จะควบคุมเอาไว้ได้ โยฮันนึกถึงเจ้าหนูเอคินที่กำลังตั้งตารอเขาอยู่ด้วยความหวัง ดังนั้น โยฮันจึงรวบรวมพลังครั้งสุดท้ายและพูดกับราชินีหิมะอย่างหนักแน่นด้วยแววตาของคนที่เป็นพ่อว่า เขาจะตายไม่ได้!

ราชินีหิมะรู้สึกพิศวงต่อความมุ่งมั่นในการมีชีวิตอยู่ของชายผู้เป็นพ่อ เมื่อเธอทราบว่า โยฮันกำลังจะเดินทางไปยังดินแดนทางตอนใต้เพื่อเก็บแดดกลับมาฝากลูกชายตัวน้อย นางจึงขอให้โยฮันปันแสงแดดส่วนหนึ่งที่เก็บมาได้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการไว้ชีวิตในครั้งนี้ โยฮันสัญญาว่าเขาจะกลับมาพร้อมกับแสงแดดเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการมีชีวิตอยู่ และแล้ว ร่างของราชินีหิมะก็ค่อย ๆ เลือนหายไป

โยฮันทรุดตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยอ่อน เพียงข้ามหุบเขานี้ไป เขาก็จะเดินทางไปถึงสุดเขตดินแดนน้ำแข็งซึ่งติดต่อกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ โยฮันพยายามที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะเดินทางต่อไป แต่ด้วยความอ่อนล้าของร่างกายและความหนาวเย็นของอากาศ ร่างกายของโยฮันจึงถึงขีดสุด เขาไม่อาจที่จะเดินทางต่อไปได้อีกแล้ว

โชคดีที่ในหุบเขาแห่งนั้นเป็นที่พำนักของหมีขั้วโลกพ่อแม่ลูก พ่อหมีเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ตอนที่โยฮันประกาศว่าเขาจะตายไม่ได้ ด้วยหัวอกของผู้ที่เป็นพ่อเหมือน ๆ กัน พ่อหมีจึงออกมาจากที่จำศีล และรับอาสาพาโยฮันไปส่งที่สุดเขตของดินแดนน้ำแข็ง โดยพ่อหมีมีข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือมันอยากขอปันแสงแดดสักส่วนหนึ่ง เพื่อให้ลูกของมันได้ใช้คลายหนาวลงไปบ้าง ซึ่งแน่นอนว่า โยฮันยินดีที่จะทำเช่นนั้น

เมื่อโยฮันขี่หลังพ่อหมีมาถึงสุดเขตของดินแดนน้ำแข็ง อุปสรรคอย่างสุดท้ายที่โยฮันต้องฝ่าฟันไปให้ได้ก็คือการเดินทางข้ามมหาสมุทรไปยังดินแดนทางตอนใต้ พ่อหมีช่วยโยฮันคิดหาวิธีข้ามฝั่ง โดยมันบอกให้โยฮันขึ้นไปนั่งบนก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่ใกล้ ๆ กับชายฝั่ง จากนั้น มันก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อนกเพนกวินทั้งหลายฟัง และขอร้องให้พ่อนกเหล่านั้นช่วยกันว่ายน้ำและผลักก้อนน้ำแข็งไปยังดินแดนทางตอนใต้ แน่นอน…ข้อแม้เพียงอย่างเดียวที่พ่อนกทั้งหลายต้องการก็คือ พวกมันอยากให้โยฮันปันแสงแดดที่เก็บมาได้ให้กับลูก ๆ ของพวกมันบ้าง และโยฮันก็รับปากที่จะทำเช่นนั้น

โยฮันเดินทางไปพร้อมกับก้อนน้ำแข็งจนถึงดินแดนแห่งแสงแดดในเช้าวันรุ่งขึ้น ทันทีที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นจากขอบฟ้า ความอบอุ่นก็ค่อย ๆ ทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าของโยฮันมีพลังเพิ่มขึ้นทีละน้อย โยฮันเริ่มต้นเก็บแสงแดดใส่เข้าไปในถุงหนังแมวน้ำ โดยเลือกเฉพาะแสงแดดที่อุ่นสบายเท่านั้น และเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าในตอนเย็น ถุงเก็บแดดของโยฮันก็อัดแน่นไปด้วยแสงแดดอุ่น ๆ จนถุงมีขนาดพอ ๆ กับลูกบัลลูนเลยทีเดียว

เช้าวันรุ่งขึ้น โยฮันเดินทางกลับมาถึงดินแดนน้ำแข็งอีกครั้ง ลูกนกเพนกวินส่งเสียงร้องกิ๊บกั๊บเมื่อโยฮันนำแสงแดดอุ่น ๆ มาฝากพวกมัน ส่วนครอบครัวหมีก็พากันออกมาจากที่จำศีล เพื่ออาบแสงอาทิตย์อันอบอุ่นที่โยฮันตั้งใจนำมาฝาก สำหรับราชินีหิมะก็ได้แต่ยืนหลับตาพริ้มด้วยความอุ่นสบายเมื่อแสงแดดจากดินแดนทางตอนใต้สัมผัสผิวกายที่ไร้สีเลือดของตัวนาง เมื่อโยฮันทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับทุก ๆ คนแล้ว เขาก็ขอตัวและรีบนำถุงเก็บแดดมุ่งหน้ากลับสู่บ้านของเขาทันที

เจ้าหนูเอคินเฝ้านับวันคืนให้พ่อกลับมาด้วยความเป็นห่วง ทันทีที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของพ่อก้าวเข้ามาใกล้ น้ำตาของลูกผู้ชายชาวน้ำแข็งก็ค่อยๆ เอ่อล้นลงมาที่แก้มสีแดงระเรื่อ เจ้าหนูเอคินโผเข้ากอดพ่อทันที่ที่พ่อก้าวพ้นประตูบ้านเข้ามา ส่วนแคทย่าเองก็ดีใจจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก โยฮันจูงมือเจ้าหนูเอคินตรงเข้าไปหาแม่ แล้วพ่อแม่ลูกชาวน้ำแข็งก็สวมกอดกันด้วยความรัก

แม้ภายนอกบ้านจะยังคงหนาวเหน็บด้วยเกล็ดหิมะ แต่ภายในบ้านหลังเล็ก ๆ หลังนี้กลับอุ่นสบายไปด้วยแสงแดดและไอรักที่ทุก ๆ คนมีให้แก่กัน และแล้ว….นิทานเรื่องนี้ก็จบลงอย่างมีความสุข

ครอบครัวชาวน้ำแข็ง—พ่อแม่ลูก—นั่งกอดกันข้างกองไฟเล็ก ๆ ภายในบ้านน้ำแข็งท่ามกลางพายุหิมะ สื่อถึงความรัก ความอบอุ่น และการปกป้องกันในวันที่หนาวเหน็บ
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

ลูกยักษ์หลงทาง – นิทานสอนใจสำหรับเด็กและครอบครัว

ในโลกของนิทาน ยักษ์มักถูกวาดภาพให้ดูน่าเกรงขาม บางครั้งก็เป็นตัวร้าย บางครั้งก็เป็นผู้พิทักษ์ แต่ในเรื่องนี้ ลูกยักษ์ไม่ได้มาเพื่อสู้รบหรือข่มขวัญใคร เขาแค่หิว แค่หลงทาง และแค่ต้องการข้าวสักมื้อ นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของยักษ์ แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจ ความเมตตา และการมองเห็นหัวใจของกันและกันในวันที่อ่อนแอที่สุด

ความน่าสนใจของนิทานเรื่องนี้คือการเลือกเล่าเรื่องยักษ์โดยไม่มีฉากรุนแรง มีเพียงความหิว ความเศร้า และการช่วยเหลือที่เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ

นิทานเรื่องนี้ มีทั้งเหตุการณ์ที่อบอุ่นหัวใจ เหตุการณ์ที่ชวนให้ตื่นเต้น แถมยังมีข้อคิดให้มองได้ในหลายแง่มุม หวังว่านิทานเรื่องนี้จะทำให้ผู้อ่านนอนหลับฝันดี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกยักษ์ตนหนึ่งหลงทางออกมาจากป่าลึกซึ่งเป็นบ้านของมัน

ลูกยักษ์ซัดเซพเนจรจนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มันทั้งเหนื่อยทั้งหิว มันจึงเดินเข้าไปในหมู่บ้าน แล้วใช้นิ้วขนาดใหญ่เคาะประตูบ้านหลังที่ใหญ่ที่สุดเบา ๆ เพื่อขออาหารกินสักมื้อ

เจ้าของบ้านหลังนั้นคือผู้ใหญ่บ้านใจร้ายที่ทั้งขี้เหนียวและชอบเอาเปรียบ เมื่อผู้ใหญ่บ้านเห็นลูกยักษ์มาขอข้าวกิน ผู้ใหญ่บ้านก็รีบไล่ลูกยักษ์ให้ไปขอข้าวที่บ้านหลังอื่นทันที

ลูกยักษ์รู้ว่าตนเองกินข้าวมากกว่าคนทั่วไป แต่มันไม่คิดว่าเจ้าของบ้านจะขับไล่ลูกยักษ์ที่หิวโซอย่างมันได้ลงคอ ลูกยักษ์ได้แต่ก้มหน้ากลั้นน้ำตา แล้วเดินออกจากหมู่บ้านแห่งนั้นโดยคิดว่า “ขนาดบ้านที่ร่ำรวยที่สุดยังไม่แบ่งข้าวให้กิน บ้านหลังอื่น ๆ ก็คงไม่มีทางแบ่งข้าวให้กินแน่ ๆ “

ในขณะที่ลูกยักษ์เดินมาถึงท้ายหมู่บ้าน จู่ ๆ ลูกยักษ์ก็ได้ยินเสียงสามีภรรยาคู่หนึ่งร้องเรียก สองสามีภรรยาเห็นลูกยักษ์เดินหน้าเศร้ามาตามลำพัง ทั้งคู่ก็เดาได้ว่าลูกยักษ์คงต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง เมื่อสองสามีภรรยารู้ว่าลูกยักษ์หิวข้าวมาก ทั้งสองคนจึงรีบหุงข้าวหุงปลาเลี้ยงลูกยักษ์ด้วยความสงสาร

ลูกยักษ์กินจุกว่าคนปกติ 10 เท่า สามีภรรยาผู้มีน้ำใจจึงต้องหุงข้าวให้ลูกยักษ์กินถึง 10 หม้อ ครั้นเมื่อคนใจบุญทั้งสองเห็นว่าลูกยักษ์อิ่มแล้ว ทั้งคู่จึงบอกให้ลูกยักษ์นอนพักที่กองฟางนุ่ม ๆ นอกบ้านสักคืน แล้วจะช่วยหาทางกลับบ้านให้ในวันรุ่งขึ้น

หลังจากสองสามีภรรยาเข้านอน ลูกยักษ์เกิดความคิดอยากตอบแทนบุญคุณของพวกเขา คืนนั้น ลูกยักษ์จึงแอบย่องเข้าไปในสวน แล้วร่ายเวทมนตร์ของยักษ์ ทำให้พืชผักในสวนเติบโตงอกงามและมีขนาดใหญ่กว่าปกติถึง 10 เท่า

เช้าวันต่อมา สองสามีภรรยาแปลกใจมากที่เห็นผักและผลไม้มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างไม่คาดคิด หนำซ้ำ ชาวบ้านยังมาขอซื้อผักผลไม้จนเนืองแน่นไปหมด สองสามีภรรยาขายผักและผลไม้จนไม่มีเหลือ พวกเขาขอบใจลูกยักษ์ที่ช่วยร่ายเวทมนตร์ให้ จากนั้น ทั้งคู่ก็เตรียมตัวพาลูกยักษ์เดินทางเข้าป่าเพื่อหาทางกลับบ้าน

ในขณะนั้นเอง ผู้ใหญ่บ้านใจร้ายทราบข่าวเรื่องมนตร์วิเศษของลูกยักษ์ ผู้ใหญ่บ้านอยากให้ลูกยักษ์ทำให้ผักและผลไม้ของตนใหญ่ขึ้นบ้าง ผู้ใหญ่บ้านจึงพาลูกสมุน 100 คนตรงมาที่บ้านของสองสามีภรรยา แล้วอ้างว่าลูกยักษ์เป็นผู้บุกรุกจึงต้องขอจับไปสอบสวนที่บ้านเสียก่อน

แม้ลูกยักษ์จะมีกำลังสู้กับลูกสมุนของผู้ใหญ่บ้านได้อย่างสบาย แต่ลูกยักษ์ไม่อยากให้สามีภรรยาที่ช่วยมันต้องเดือดร้อน ลูกยักษ์จึงยอมให้ผู้ใหญ่บ้านคุมตัวไปแต่โดยดี

เมื่อไปถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ลูกยักษ์เริ่มหิวจึงขอกินข้าวสักหน่อย แต่ผู้ใหญ่บ้านไม่ให้ ลูกยักษ์จึงโมโห ไม่ยอมเสกผักและผลไม้ให้ใหญ่ขึ้นตามที่ผู้ใหญ่บ้านออกคำสั่ง

ครั้นเมื่อผู้ใหญ่บ้านเห็นว่าลูกยักษ์ดื้อดึง ผู้ใหญ่บ้านจึงให้ลูกสมุนนำไม้กระบองมาตีลูกยักษ์

ลูกยักษ์เจ็บจึงร้องไห้เสียงดังลั่น เสียงร้องไห้ของลูกยักษ์ดังแว่วเข้าไปในป่า ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น พ่อยักษ์กับแม่ยักษ์ที่ได้ยินเสียงลูกก็วิ่งบุกป่าฝ่าดงตรงมายังหมู่บ้าน

เมื่อพ่อยักษ์กับแม่ยักษ์เห็นลูกถูกคน 100 คนรุมตี ทั้งคู่จึงเป่าให้คนเหล่านั้นปลิวไปตามสายลม…เหลือแต่ผู้ใหญ่บ้านที่กอดเสาเอาไว้ได้ เมื่อลูกยักษ์ได้ที ลูกยักษ์จึงฟ้องพ่อกับแม่ว่าผู้ใหญ่บ้านเป็นตัวการที่สั่งให้คนมาทุบตีตน

พ่อยักษ์กับแม่ยักษ์โมโหมาก ทั้งคู่ไล่ผู้ใหญ่บ้านให้ออกไปจากหมู่บ้านโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นจะจับกินให้สิ้นซาก ผู้ใหญ่บ้านกลัวมากจึงรีบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต

เมื่อเรื่องราวทั้งหมดสงบลง ลูกยักษ์จึงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้พ่อกับแม่ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม่ยักษ์ชื่นชมในน้ำใจของสองสามีภรรยา นางจึงถอดตุ้มหูเพชรซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าตุ่มน้ำแล้วนำไปมอบให้แก่คนใจดีทั้งสอง ส่วนพ่อยักษ์เห็นว่าหากคนดีได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านนี้ก็คงจะมีแต่ความสุข ด้วยเหตุนี้ พ่อยักษ์จึงประกาศให้สองสามีภรรยาทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ และตนจะคอยแวะมาช่วยปกป้องหมู่บ้าน…หากมีใครคิดมาเกเรสร้างความเดือดร้อน

ชาวบ้านต่างดีใจที่ได้คนดีมาดูแลหมู่บ้านของตน ส่วนลูกยักษ์ก็ตามพ่อกับแม่กลับเข้าป่าไปโดยแอบดีใจอยู่เงียบ ๆ ที่สามีภรรยาผู้ใจดีได้สิ่งดี ๆ ตอบแทนความดีของพวกเขา

ลูกยักษ์ตัวใหญ่กำลังกินข้าวจากหม้อข้าวใบโต
Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ

โทปอร์โกกับเจ้าชายทั้งเก้า (Lutonjica Toporko i devet župančića) : นิทานจากโครเอเชีย

“โทปอร์โกกับเจ้าชายทั้งเก้า” เป็นนิทานจากโครเอเชีย ที่ไม่เพียงเล่าเรื่องการถือกำเนิดของเจ้าชาย แต่ยังพาผู้อ่านดำดิ่งสู่ความหมายของการเติบโต การฟัง และการกลับคืนสู่รากเหง้าแห่งชีวิต นิทานเรื่องนี้มีโครงสร้างที่เรียบง่าย แต่แฝงด้วยสัญลักษณ์ทางธรรมชาติและจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง ซึ่งหาได้ยากในนิทานร่วมสมัย

สิ่งที่ทำให้นิทานเรื่องนี้โดดเด่นจากงานอื่นของผู้แต่ง Ivana Brlić-Mažuranić  คือการเลือกใช้ “ความเงียบ” เป็นเครื่องมือหลักในการเล่าเรื่อง แทนที่จะใช้บทสนทนาและเหตุการณ์ที่เร้าใจ ผู้เขียนกลับใช้ความนิ่งของป่า ความเงียบของต้นไม้ และเสียงที่ไม่มีถ้อยคำเป็นตัวนำทางให้ผู้อ่านเข้าใจตัวละครและโลกภายในของพวกเขา การดำเนินเรื่องจึงไม่ใช่การเคลื่อนไหว แต่เป็นการฟังอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้แต่งที่เชื่อในพลังของความสงบและการฟื้นคืนผ่านความทรงจำ

การเรียบเรียงนิทานเรื่องนี้ให้เข้าถึงผู้อ่านไทยจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยความต่างทางวัฒนธรรม ยุคสมัย และการใช้สัญลักษณ์ที่ไม่คุ้นเคย การแปลและเรียบเรียงจึงต้องอาศัยความตั้งใจอย่างสูงในการรักษาอารมณ์และจิตวิญญาณของต้นฉบับไว้ให้มากที่สุด โดยไม่ลดทอนความลึกของเรื่องราว แม้จะเข้าใจยากในบางช่วง แต่หากผู้อ่านเปิดใจฟังเสียงของต้นไม้ในเรื่องนี้ ก็อาจได้ใกล้ชิดกับหัวใจของผู้แต่งมากกว่าการอ่านงานอื่นใดของเขา สำหรับผู้ที่สนใจต้นฉบับดั้งเดิม สามารถค้นหาได้ภายใต้ชื่อ “Lutonjica Toporko i devet župančića” ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของวรรณกรรมพื้นบ้านโครเอเชีย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชากับพระราชินีผู้ครองแคว้นอันสงบสุข ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระทัยเมตตาและเปี่ยมด้วยปัญญา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พระทัยของทั้งสองยังไม่สมบูรณ์ คือการไม่มีบุตรไว้สืบสกุล แม้จะทรงอธิษฐานและเฝ้ารอด้วยความหวังมานานหลายปี ก็ยังไม่มีวี่แววว่าพระเจ้าจะประทานลูกให้

วันหนึ่ง พระราชาเสด็จออกล่าสัตว์ในป่าใหญ่ และเมื่อทรงหลงทางอยู่กลางพงไพร ท่ามกลางความเงียบงันของธรรมชาติ พระองค์ก็ได้พบชายชราผู้หนึ่งนามว่า เนอูมีโก (Neumijko) ผู้มีดวงตาลึกซึ้งและท่าทีสงบเยือกเย็น ชายชราผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา หากแต่เป็นผู้รู้แห่งป่า ผู้ที่เข้าใจเสียงของต้นไม้และลมหายใจของแผ่นดิน

เนอูมีโกรับฟังความทุกข์ของพระราชาอย่างเงียบงัน ก่อนจะกล่าวว่า “หากพระองค์ปรารถนาจะมีบุตร ก็จงกลับไปยังพระราชวัง แล้วให้พระราชินีปลูกต้นไม้เก้าต้นไว้ในสวนหลวง ดูแลมันด้วยความรักและความอดทน ไม่เร่งรัด ไม่ถอนรากถอนโคน หากต้นไม้เติบโตดี วันหนึ่งพระองค์จะได้สิ่งที่ปรารถนา”

พระราชาทรงประหลาดใจ แต่ก็รับคำด้วยความหวัง เมื่อเสด็จกลับถึงวัง พระองค์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระราชินีฟัง และทั้งสองก็ลงมือปลูกต้นไม้เก้าต้นในสวนหลวงด้วยพระหัตถ์ของตนเอง

วันเวลาผ่านไป ต้นไม้ทั้งเก้าก็เติบโตขึ้นอย่างงดงาม ลำต้นตั้งตรง ใบเขียวชอุ่ม และแผ่กิ่งก้านราวกับจะโอบอุ้มท้องฟ้าไว้ พระราชาและพระราชินีดูแลต้นไม้เหล่านั้นด้วยความรักราวกับเป็นลูกของตนเอง และในคืนหนึ่งที่พระจันทร์เต็มดวง แสงเงินสาดส่องลงมายังสวนหลวง ต้นไม้ทั้งเก้าก็สั่นไหวเบา ๆ และจากรากไม้ก็มีเสียงหัวเราะของเด็กชายดังขึ้น

รุ่งเช้า พระราชินีพบเด็กชายเก้าคน นอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้แต่ละต้น เด็ก ๆ เหล่านั้นมีใบหน้าอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกาย และเมื่อพระราชินีอุ้มพวกเขาขึ้นมา ก็รู้ทันทีว่านี่คือคำตอบจากฟ้า

หลายปีผ่านไป เด็กชายทั้งเก้าคนเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงและมีคุณธรรม พวกเขาไม่เพียงเป็นเจ้าชาย แต่เป็นบุตรแห่งต้นไม้ที่พระราชินีปลูกด้วยความรัก ความอดทน และความศรัทธาในธรรมชาติ พี่ชายทั้งเก้าต่างมีนิสัยแตกต่างกันไป บางคนเงียบขรึม บางคนร่าเริง บางคนชอบเรียนรู้ บางคนชอบออกเดินทาง แต่ทุกคนล้วนมีหัวใจที่อ่อนโยนและเคารพในผู้ให้กำเนิด

พระราชาและพระราชินีทรงปลื้มปีติในลูกชายทั้งเก้า แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังรู้สึกว่า “ยังมีบางสิ่งที่ยังไม่ครบ” ราวกับเสียงของต้นไม้ยังไม่เงียบลงเสียทีเดียว และแล้ว ในคืนหนึ่งที่สายลมพัดผ่านสวนหลวงอย่างแผ่วเบา พระราชินีทรงฝันเห็นขวานเล็ก ๆ วางอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ขวานนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อฟันต้นไม้ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการแยกตัว การตัดใจ และการเลือกด้วยตนเอง

รุ่งเช้า พระราชินีเล่าความฝันให้พระราชาฟัง และในวันนั้นเอง เด็กชายคนที่สิบก็ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่การถือกำเนิดจากต้นไม้ แต่จากความตั้งใจของพระราชินีที่จะ “ให้กำเนิดด้วยหัวใจของตนเอง” เด็กชายผู้นั้นมีนามว่า โทปอร์โก (Toporko) ซึ่งหมายถึง “ขวานเล็ก” ในภาษาของชาวแคว้น

โทปอร์โกเติบโตขึ้นมาอย่างแตกต่างจากพี่ชายทั้งเก้า เขาไม่ได้มีต้นไม้เป็นที่มา แต่มีความตั้งใจของแม่เป็นรากฐาน เขาเป็นเด็กที่เงียบขรึม ชอบฟังเสียงลม และมักตั้งคำถามกับสิ่งที่คนอื่นมองข้าม เขาไม่ได้แข็งแรงที่สุด หรือฉลาดที่สุด แต่เขามีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครเทียบได้ นั่นคือ…ความสามารถในการฟังสิ่งที่ไม่มีเสียง และเข้าใจสิ่งที่ไม่มีคำพูด

เมื่อโทปอร์โกโตขึ้นจนถึงวัยหนุ่ม เขาเริ่มสังเกตว่าพี่ชายทั้งเก้าค่อย ๆ เปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มห่างเหินจากธรรมชาติ ไม่ออกไปดูแลต้นไม้เหมือนเคย และบางคนเริ่มพูดถึงการออกเดินทางไปยังดินแดนอื่นเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต พระราชาและพระราชินีทรงเป็นห่วง แต่ก็ไม่อาจห้ามปรามได้ เพราะการเติบโตคือการเลือกด้วยตนเอง

และแล้ววันหนึ่ง พี่ชายทั้งเก้าก็ออกเดินทางโดยไม่บอกลา พวกเขาเดินทางไปยังทิศต่าง ๆ และหายไปจากแคว้นอย่างไร้ร่องรอย พระราชินีทรงเฝ้ารอด้วยความหวัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน ความหวังก็เริ่มกลายเป็นความเงียบ พระราชาเองก็ทรงเศร้า และเริ่มหลีกเลี่ยงสวนหลวงที่เคยเป็นที่รวมของครอบครัว

โทปอร์โกไม่พูดอะไร แต่เขาเริ่มเดินไปยังต้นไม้ทั้งเก้าในทุกเช้า เขาแตะลำต้นเบา ๆ ฟังเสียงใบไม้ และเฝ้ารอคำตอบจากสิ่งที่ไม่มีเสียง วันหนึ่ง เขากล่าวกับพระราชาว่า “ข้าจะออกเดินทางตามหาพี่ชายทั้งเก้า ไม่ใช่เพื่อพาพวกเขากลับมา แต่เพื่อฟังว่าพวกเขาได้ยินอะไรบ้างระหว่างทาง”

พระราชาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า และมอบขวานเล็กที่พระราชินีเคยฝันถึงให้แก่โทปอร์โก พร้อมคำพูดเพียงประโยคเดียว “จงฟังให้ลึกกว่าที่ข้าเคยฟัง”

……

โทปอร์โก (Toporko) ออกเดินทางในยามเช้าตรู่ โดยมีเพียงขวานเล็กที่พระราชาทรงมอบให้ และเสียงของต้นไม้ในใจเป็นเพื่อนร่วมทาง เขาไม่ได้เร่งรีบ แต่เดินอย่างมั่นคงผ่านทุ่งหญ้า ลำธาร และหมู่บ้านที่เงียบงัน เขาไม่ถามใครถึงทางไปยังพี่ชายทั้งเก้า เพราะเขารู้ดีว่าคำตอบไม่ได้อยู่ในถ้อยคำของมนุษย์ แต่อยู่ในเสียงที่ไม่มีใครฟัง

หลายวันผ่านไป เขาเข้าสู่ป่าที่ลึกและเงียบที่สุดในแคว้น ป่าแห่งนี้ไม่เหมือนป่าใดที่เขาเคยพบ มันไม่มีเสียงนก ไม่มีเสียงลม มีเพียงความนิ่งที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกใบไม้ ทุกกิ่งไม้ดูเหมือนจะหยุดหายใจ และแสงแดดก็ไม่อาจส่องผ่านลงมาได้เต็มที่ โทปอร์โกรู้ทันทีว่าเขาได้เข้าสู่ “ป่าแห่งการลืม” สถานที่ที่พี่ชายทั้งเก้าหายไป

เขาเดินต่อไปโดยไม่ลังเล และในค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เสียงเบา ๆ ก็แว่วขึ้นจากพุ่มไม้ใกล้เคียง เป็นเสียงของเด็กชายคนหนึ่งที่พูดกับต้นไม้ว่า “ทำไมข้าจำบ้านไม่ได้เลย” โทปอร์โกลุกขึ้นและเดินไปยังต้นไม้ต้นนั้น เขาพบชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่คนเดียว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า แต่ในดวงตายังมีประกายบางอย่างที่ไม่ดับสูญ

“เจ้าคือหนึ่งในพี่ชายของข้าใช่ไหม” โทปอร์โกถามเบา ๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้า ๆ “ข้าเคยเป็น…แต่ข้าจำไม่ได้แล้วว่าข้าเคยเป็นใคร” โทปอร์โกไม่ตอบ แต่หยิบขวานเล็กขึ้นมา และแตะเบา ๆ ที่ลำต้นของต้นไม้ใกล้ตัวชายหนุ่ม เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของเขา มันเป็นเสียงที่ไม่ใช่คำพูด แต่เป็นความรู้สึกที่ว่า “เขายังอยู่…เขายังฟังได้”

วันต่อมา โทปอร์โกเดินลึกเข้าไปในป่า และพบพี่ชายอีกคนในลำธารที่นิ่งสนิท อีกคนในถ้ำที่มีแสงจันทร์ลอดผ่าน อีกคนในทุ่งหญ้าที่ไม่มีดอกไม้ และอีกคนในเงาของต้นไม้ที่ไม่เคยสั่นไหว เขาพบพี่ชายทีละคน ไม่ใช่ด้วยการตามหา แต่ด้วยการฟัง เมื่อเขาแตะขวานเล็กลงบนพื้นดินหรือกิ่งไม้ใกล้ตัวพี่ชายแต่ละคน เสียงของความทรงจำก็เริ่มกลับมาอย่างช้า ๆ

พี่ชายทั้งเก้าไม่ได้ถูกคำสาปให้ลืมเพราะความผิด แต่เพราะพวกเขาเลือกที่จะละทิ้งเสียงของต้นไม้ เลือกที่จะเติบโตโดยไม่ฟังสิ่งที่เคยดูแลพวกเขา และเมื่อพวกเขาหลงทางในป่าแห่งการลืม เสียงของธรรมชาติก็เงียบลงจากใจของพวกเขา

โทปอร์โกไม่ได้ตำหนิพี่ชาย แต่เขาเลือกที่จะฟังแทน เขาไม่พยายามปลุกพวกเขาด้วยคำพูด แต่ด้วยการอยู่เคียงข้าง และแตะขวานลงบนสิ่งที่เคยมีชีวิต

……..

การที่โทปอร์โก (Toporko) ได้พบพี่ชายทั้งเก้าคนในป่าแห่งการลืม เขาไม่ได้พยายามพาพวกเขากลับบ้านทันที หากแต่เลือกอยู่เคียงข้างพวกเขาอย่างเงียบ ๆ เขาใช้เวลาหลายวันในแต่ละที่ ฟังเสียงของต้นไม้ที่พี่ชายเคยเติบโตจากมัน และแตะขวานเล็กลงบนรากไม้ที่ยังคงเต้นเบา ๆ ใต้ดิน

พี่ชายแต่ละคนเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ไม่ใช่เพราะถูกปลุกด้วยเวทมนตร์ แต่เพราะความเงียบของโทปอร์โกทำให้พวกเขาเริ่มฟังอีกครั้ง พวกเขาเริ่มจำได้ว่าตนเคยมีบ้าน เคยมีแม่ที่ปลูกต้นไม้ด้วยมือเปล่า เคยมีพ่อที่เฝ้าดูการเติบโตของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ และเคยมีน้องชายที่เกิดจากความตั้งใจ ไม่ใช่จากรากไม้

เมื่อความทรงจำกลับคืนมา พี่ชายทั้งเก้าก็รวมตัวกันอีกครั้งใต้ต้นไม้ใหญ่กลางป่า โทปอร์โกยืนอยู่ตรงกลาง และกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มาพาเจ้ากลับบ้าน ข้ามาเพื่อให้เจ้ารู้ว่าเจ้ามีบ้านอยู่ในใจเสมอ” พี่ชายทั้งเก้ามองหน้ากัน และในแววตาของพวกเขามีประกายของต้นไม้ที่เคยเติบโตจากความรัก

ในคืนหนึ่งที่พระจันทร์เต็มดวงอีกครั้ง แสงเงินสาดส่องลงมายังพื้นดินที่พี่น้องทั้งสิบยืนอยู่ เสียงของต้นไม้ดังขึ้นในใจของทุกคน เสียงที่เคยเงียบไปนาน เสียงที่ไม่ใช่คำพูด แต่เป็นความรู้สึกว่า “เจ้ากลับมาแล้ว”

พี่ชายทั้งเก้าก้มลงแตะพื้นดิน และโทปอร์โกก็วางขวานเล็กลงบนรากไม้ที่เขาเคยฟัง เสียงของป่าเปลี่ยนไป ลมเริ่มพัด ใบไม้เริ่มสั่น และแสงจันทร์ก็สว่างขึ้นราวกับจะโอบอุ้มทุกชีวิตไว้ในอ้อมแขน

รุ่งเช้าในวันถัดมา พี่น้องทั้งสิบออกเดินทางกลับสู่แคว้นของตน ไม่ใช่ด้วยความเร่งรีบ แต่ด้วยความสงบ พวกเขาเดินผ่านทุ่งหญ้า ลำธาร และหมู่บ้านที่เคยเงียบงัน แต่ครั้งนี้ ทุกสิ่งดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อพวกเขามาถึงวัง พระราชาและพระราชินีออกมาต้อนรับด้วยน้ำตาแห่งความสุข พระราชินีทรงแตะใบหน้าของลูกชายแต่ละคน และกล่าวว่า “เจ้าคือผลของต้นไม้ที่ข้าเคยปลูกด้วยมือเปล่า และเจ้าคือผลของหัวใจที่ข้าเคยตั้งใจให้เกิดขึ้น” โทปอร์โกยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร เพราะเขารู้ดีว่า คำพูดไม่อาจแทนเสียงของต้นไม้ได้

จากวันนั้นเป็นต้นมา พี่น้องทั้งสิบไม่ได้เป็นเพียงเจ้าชาย แต่เป็นผู้ดูแลต้นไม้ทั้งเก้าในสวนหลวง พวกเขาไม่เพียงเฝ้าดูการเติบโต แต่ฟังเสียงของใบไม้ ลมหายใจของดิน และความเงียบของรากไม้ที่ยังคงเต้นอยู่ใต้พื้นดิน

และนิทานเรื่องนี้ก็ถูกเล่าขานต่อไปในหมู่บ้านและแคว้นต่าง ๆ เพื่อเตือนใจผู้คนว่า การเติบโตไม่ใช่การออกเดินทางเพียงอย่างเดียว หากแต่คือการฟังสิ่งที่เคยดูแลเรา และกลับคืนสู่รากที่ไม่เคยหายไป

จบบริบูรณ์.

บทตาม: (จากนิทานนำบุญ)

นิทานเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเจ้าชายสิบคน แต่คือเรื่องของการฟังสิ่งที่ไม่มีเสียง และการกลับคืนสู่รากเหง้าที่เคยดูแลเราอย่างเงียบ ๆ

โทปอร์โกเป็นเจ้าชายที่เกิดจากความตั้งใจของแม่ ไม่ใช่จากต้นไม้เหมือนพี่ชายทั้งเก้า เขาไม่พูดมาก แต่ฟังเก่ง ฟังเสียงลม เสียงใบไม้ และเสียงในใจของคนที่หลงทาง เขาไม่ได้ออกเดินทางเพื่อพาพี่ชายกลับบ้าน แต่เพื่อฟังว่าแต่ละคนได้ยินอะไรบ้างระหว่างทาง

บางครั้ง เราอาจไม่ต้องพูดเยอะ แค่ฟังด้วยหัวใจ ก็อาจช่วยให้คนที่เรารักรู้สึกดีขึ้นได้ นิทานเรื่องนี้อยากบอกเราว่า…การเติบโตไม่ใช่แค่การออกเดินทาง แต่คือการฟังสิ่งที่เคยดูแลเรา และจำไว้ว่าบ้าน…อาจอยู่ในใจเราตลอดเวลา แม้เราจะลืมไปชั่วคราว.

Posted in นิทานหมา, นิทานอบอุ่นหัวใจ, นิทานเด็ก

เรื่องเล่าของเจ้าหมูอ้วน : นิทานเพื่อนแท้ที่ถูกลืม

ในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน สัตว์เลี้ยงยังคงเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนความหมายของคำว่า “รักแท้” สำหรับหลายครอบครัว สัตว์เลี้ยงไม่ใช่แค่เพื่อนเล่น แต่คือสมาชิกในบ้าน ผู้เฝ้ารอ ผู้ฟังเงียบ ๆ และผู้มอบความรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

โดยเฉพาะ “หมา” สัตว์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความภักดีและความเสียสละ มันไม่สนว่าเราจะยุ่งแค่ไหน ไม่สนว่าเราจะเปลี่ยนไปอย่างไร ขอแค่ได้อยู่ใกล้ ๆ ได้เฝ้าดู ได้รอคอย… ก็เพียงพอแล้วสำหรับหัวใจดวงหนึ่งที่เต็มไปด้วยความรัก

สำหรับเด็ก ๆ การมีสัตว์เลี้ยงคือการเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบ ความอ่อนโยน และความผูกพันที่ไม่ต้องใช้คำพูด สัตว์เลี้ยงสอนให้เด็กรู้จักการดูแลผู้อื่น รู้จักความเศร้าเมื่อใครบางคนเจ็บป่วย และรู้จักความสุขจากการได้เห็นใครบางคนฟื้นกลับมา

แต่ในบางครั้ง… เมื่อความสนใจของเด็กเปลี่ยนไป เมื่อของใหม่เข้ามาแทนที่ สัตว์เลี้ยงที่เคยเป็นโลกทั้งใบก็อาจถูกมองข้าม ถูกลืม ถูกปล่อยให้เฝ้ารออยู่เงียบ ๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความรักจะกลับมา

นิทานเรื่องนี้คือบทบันทึกของ “เพื่อนแท้” ผู้ไม่เคยหายไปจากหัวใจ แม้จะถูกลืมไปจากสายตา…

ผมชื่อ “หมูอ้วน” ผมเป็นหมาของน้องพี ตอนที่ผมเป็นเด็ก น้องพีคอยดูแลผมไม่เคยห่าง เรากินข้าวด้วยกัน นอนด้วยกัน และเล่นสนุกด้วยกัน น้องพีรักผมมาก ส่วนผมก็รักน้องพีสุดหัวใจ

เมื่อน้องพีโตขึ้น ผมก็โตขึ้นด้วย ตอนนี้…ผมไม่ใช่ลูกหมาแล้วนะ แต่ผมเป็นหมาหนุ่มที่แข็งแรงไม่ใช่เล่น ผมคอยเฝ้าบ้านให้น้องพีทุก ๆ คืน ส่วนน้องพีก็ยุ่งกับการบ้านจนเราไม่ค่อยได้เล่นกันสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม…ผมก็ยังรักน้องพีไม่มีเปลี่ยน

อยู่มาวันหนึ่ง คุณพ่อซื้อหมาหุ่นยนต์มาให้น้องพีเป็นของขวัญวันเกิด น้องพีตื่นเต้นมากเพราะหมาหุ่นยนต์ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวและส่งเสียงโต้ตอบได้ราวกับมันมีชีวิต ผมดีใจที่เห็นน้องพีมีความสุข แต่ในขณะเดียวกัน…ผมก็กลัวว่าน้องพีอาจลืมผมไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง

นับจากวันนั้น น้องพีก็รีบทำการบ้านเพื่อที่จะได้มีเวลาเล่นกับหมาหุ่นยนต์ให้มากที่สุด น้องพีสนุกกับการป้อนข้อมูลให้หมาหุ่นยนต์ทำนู่นทำนี่ เจ้าหมาหุ่นยนต์ชอบหมุนตัวไปรอบ ๆ และเห่าด้วยเสียงประหลาด น้องพีมักจะหัวเราะเมื่อได้เห็น แต่พอผมแกล้งหมุนตัวและเห่าบ้าง น้องพีกลับทำหน้าเบื่อ ๆ แล้วเอาหมาหุ่นยนต์ขึ้นไปเล่นในห้องนอนโดยไม่ให้ผมตามไปด้วย น้องพีหลงเจ้าหมาหุ่นยนต์จนลืมหมาที่มีหัวใจอย่างผมไปเสียแล้ว!

ผมร้องไห้อยู่หลายวันจนไม่มีน้ำตาจะไหล ในที่สุด ผมก็เริ่มทำใจได้และรู้ตัวดีว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ยังคงรักน้องพีไม่มีเปลี่ยน ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงยอมอยู่ห่างจากน้องพีและตั้งใจที่จะเฝ้าบ้านให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องน้องพีให้นอนหลับฝันดีทุก ๆ คืน

แต่แล้วคืนหนึ่ง (ซึ่งเป็นคืนที่คุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่บ้าน) จู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงคนแปลกหน้าปีนกำแพงเข้ามาและแอบลอบเข้าไปในตัวบ้าน ผมตกใจมากเพราะไม่เคยเผชิญหน้ากับโจรเช่นนี้มาก่อน แต่ทันทีที่ผมได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของน้องพี ผมก็ได้สติและรีบกระโจนเข้าไปในบ้านอย่างเร็วจี๋

เมื่อผมวิ่งขึ้นบันไดไปจนถึงห้องของน้องพี สิ่งที่ผมเห็นก็คือน้องพีกำลังนั่งตัวสั่นอยู่บนเตียงโดยมีเจ้าโจรร้ายยืนขวางประตูพร้อมกับถือมีดเงาวับอยู่ในมือ

เสี้ยววินาทีนั้น…ผมกลัวจนตัวสั่น แต่เพราะผมรักน้องพียิ่งกว่าชีวิต ผมจึงตัดสินใจกระโดดเข้ากัดเจ้าโจรร้ายอย่างสุดแรงเกิด

แม้เจ้าโจรจะเจ็บและทำมีดหลุดมือ แต่มันก็ยังมีพิษสงรอบตัว เจ้าโจรทั้งทุบทั้งถีบผมเพื่อให้ผมปล่อยมันออกจากคมเขี้ยว ผมถูกโจรทำร้ายจนสะบักสะบอมไปหมด แต่เพื่อปกป้องน้องพีที่ผมรัก ผมจึงยอมสู้ตายถวายชีวิต

และแล้ว…โชคดีก็เป็นของผม เพราะก่อนที่ผมจะหมดแรงเฮือกสุดท้าย คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องพีก็ขับรถกลับมาถึงบ้าน ซึ่งทำให้เจ้าโจรตกใจและรีบเผ่นหนีไปในทันที

เมื่อคุณพ่อกับคุณแม่เข้ามาเห็นสภาพภายในห้อง ท่านทั้งสองก็รีบโผเข้ากอดน้องพีที่ได้แต่ร้องไห้และชี้มือมาที่พื้น คุณพ่อมองเห็นหมาหุ่นยนต์ที่พังยับเยินอยู่ตรงนั้น ท่านจึงปลอบน้องพีว่าจะซื้อหมาหุ่นยนต์ให้ใหม่ แต่น้องพีไม่เอา น้องพีกลับร้องไห้ฟูมฟายพร้อม ๆ กับร้องเรียกชื่อผมไม่ยอมหยุด!ในตอนนั้น ผมดีใจเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ น้องพียังห่วงผม น้องพียังจำหมาอย่างผมได้ ผมดีใจได้สักพัก แล้วภาพต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ มืดหายไปจนหมด

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้ เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในร้านหมอโดยมีน้องพีคอยลูบตัวของผมเบา ๆ ด้วยความเป็นห่วง คุณหมอรักษาผมเป็นอย่างดี ท่านยืนยันว่าผมจะต้องหายเป็นปกติได้แน่ ๆ

เมื่อกลับมาถึงบ้าน น้องพีเฝ้าดูแลผมเหมือนตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ผมอบอุ่นใจมากเมื่อน้องพีกอดผมเอาไว้ในอ้อมแขน และผมมีความสุขเหลือเกินเมื่อน้องพีบอกผมว่า ขอโทษนะเจ้าหมูอ้วน ฉันจะไม่ลืมเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันอีกแล้ว

ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ฟังถ้อยคำอันแสนวิเศษของน้องพี ผมจะต้องหายให้เร็วที่สุดเพราะผมไม่อยากให้น้องพีต้องเป็นห่วง

หลังจากนั้นไม่นาน…ผมก็ค่อย ๆ หายวันหายคืนจนแข็งแรงเหมือนเก่าไม่มีผิด ส่วนน้องพีก็ไม่เคยลืมเพื่อนสี่ขาที่แสนดีอย่างผมอีกเลย

#นิทานนำบุญ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานสอนใจ

คำสอนของแม่ – นิทานก่อนนอนสอนใจที่อบอุ่นและให้พลังใจแก่ทุกคน

นิทานต่อไปนี้ เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เคยแต่งลงใน นิตยสารขวัญเรือน และเคยนำลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ นิทานนำบุญ สาขา 2 ซึ่งปัจจุบันได้ปิดตัวไปแล้ว ในโอกาสที่เว็บไซต์ นิทานนำบุญ กำลังปรับปรุงเนื้อหาและยุติการเผยแพร่นิทานบางส่วน ผมจึงอยากนำนิทานเรื่องนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่อาจมีผู้อ่านไม่มากนัก กลับมาเผยแพร่อีกครั้ง

นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพลังใจของเด็กหญิงคนหนึ่งผู้เติบโตมาท่ามกลางความยากลำบาก แต่เธอมีหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ และเชื่อมั่นในคำสอนของแม่ผู้เปี่ยมด้วยความรักและเมตตา เรื่องราวสะท้อนให้เห็นคุณค่าของความมุ่งมั่น ความกตัญญู และความพยายามในการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยใจจริง เป็นนิทานที่จะทำให้ผู้อ่านได้ทั้งความอบอุ่นและแรงบันดาลใจในเวลาเดียวกัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสาวน้อยคนหนึ่งชื่อว่า “ลินลา” ลินลาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ กับแม่และน้องอีกสองคน ครอบครัวของลินลามีฐานะไม่สู้ดีนัก หนำซ้ำ แม่ของลินลาก็อายุมากแล้ว ลินลาจึงอยากหางานทำเพื่อนำเงินมาดูแลแม่และน้อง ๆ ให้มีชีวิตสุขสบายกว่าที่เป็นอยู่

วันหนึ่ง ลินลาทราบข่าวว่า พระราชินีทรงต้องการสาวใช้คนใหม่ไปทำงานในวัง แม้ลินลาจะไม่รู้ระเบียบวิธีในการทำงานรับใช้เจ้านายในวังมาก่อน แต่เธอก็คิดว่า นี่คงเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เธอดูแลแม่กับน้อง ๆ ให้สุขสบายได้เร็วขึ้น ลินลาจึงขออนุญาตแม่ไปสมัครทำงาน ทั้ง ๆ ที่เธอก็แอบหวั่นใจอยู่ไม่ใช่น้อย

ก่อนออกเดินทาง แม่ของลินลากอดลูกสาวคนดีเอาไว้ในอ้อมอก พร้อมกับให้กำลังใจว่า “งานทุกอย่าง…ถ้าเราเอาใจใส่ ก็ไม่มีอะไรยากจนเราทำไม่ได้หรอกนะลูก”

คำสอนของแม่ทำให้ลินลาอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ลินลากอดแม่แนบแน่น จากนั้น เธอก็ลาแม่เพื่อเดินทางไปยังพระราชวังตามที่ตั้งใจเอาไว้

เมื่อมาถึงพระราชวัง ลินลาพบว่ามีสาวชาวบ้านแห่แหนกันมาสมัครเป็นสาวใช้ในวังนับได้เกือบหนึ่งร้อยคน แต่เนื่องจากตำแหน่งที่ว่างมีเพียงตำแหน่งเดียว นางข้าหลวงในวังจึงต้องทดสอบเด็กสาวแต่ละคนว่าจะทำงานได้ดีสักแค่ไหน

งานแรกที่ลินลาต้องลองทำคือการดูแลที่นอนในห้องบรรทมของพระราชา ลินลาไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรบ้าง เธอค่อย ๆ คิด คิดอย่างเอาใจใส่ ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจเริ่มงานด้วยการซักผ้าปูที่นอนจนสะอาดเอี่ยม แล้วนำมันไปตากให้หอมกลิ่นแดด จากนั้น เธอก็นำผ้ามาปูบนเตียงจนเรียบตึง แล้วนำดอกไม้หอมจัดใส่แจกันตั้งไว้ในห้อง เมื่อพระราชาที่เหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวันได้เห็นเตียงที่ปูอย่างเรียบร้อยและหอมสะอาดเป็นพิเศษ แถมยังมีกลิ่นดอกไม้ชวนให้สบายใจ พระองค์จึงนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน

วันต่อมา ลินลาได้รับมอบหมายให้ดูแลสวนดอกไม้ของพระราชินี ในตอนแรก ลินลาไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรบ้าง เธอค่อย ๆ คิด คิดอย่างเอาใจใส่ ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจเริ่มงานด้วยการตัดหญ้าให้เป็นระเบียบ, ตัดแต่งพุ่มไม้ให้ได้รูป, เช็ดถูม้านั่งจนสะอาด, นำก้อนหินน้อยใหญ่มาเรียงเป็นแนวเพิ่มความงามให้กับทางเดินในสวน, หาบ้านนกหลังเล็ก ๆ มาแขวนไว้ตามต้นไม้ แล้วเอาอ่างน้ำมาวางกลางสนามเพื่อให้นกมีน้ำสะอาดดื่มกิน เมื่อพระราชินีผู้มีจิตใจอ่อนโยนเสด็จมาเห็นสวนสวยที่มีชีวิตชีวาด้วยเสียงนกร้อง พระองค์ก็ทรงยิ้มและรู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก

วันสุดท้าย นางข้าหลวงมอบหมายให้ลินลาทำของหวานให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงองค์น้อยที่อ้วนตุ้ยนุ้ยเสวยตามสูตรที่ทั้งสองพระองค์ทรงชอบ ลินลาดูสูตรขนมแล้วค่อย ๆ คิด คิดอย่างเอาใจใส่ จากนั้น ลินลาก็ตัดสินใจทำของหวานโดยลดน้ำตาลจากเดิมลงถึงครึ่งหนึ่ง เพราะเธอห่วงสุขภาพของเจ้าชายและเจ้าหญิง ลินลาใช้วิธีจัดแต่งของหวานในจานเป็นรูปสัตว์น่ารัก ๆ เพื่อทำให้เจ้าชายและเจ้าหญิงสนใจในหน้าตาของขนมมากกว่ารสหวานที่ลดน้อยลง ซึ่งเมื่อเจ้าชายกับเจ้าหญิงได้เห็นและชิมขนมที่ลินลาทำ ทั้งคู่ก็นั่งกินขนมแสนน่ารักของลินลากันอย่างมีความสุข

เมื่อถึงวันตัดสินผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสาวใช้ในวัง หญิงสาวหลายคนต่างคาดเดาว่าลินลาคงได้เป็นสาวใช้คนใหม่อย่างแทบไม่ต้องสงสัย แต่ทันทีที่นางข้าหลวงประกาศผลผู้ที่ได้รับเลือก ทุกคนก็ต้องตกใจไปตาม ๆ กัน เพราะผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นสาวใช้คนใหม่ กลับไม่ใช่ลินลาอย่างที่หลาย ๆ คนคิด!

ลินลาผิดหวังที่เธอไม่ได้รับเลือกและหมดโอกาสทำงานหาเงินไปดูแลแม่กับน้อง ๆ แต่ในขณะที่ลินลากำลังสิ้นหวังอยู่นั้น จู่ ๆ พระราชินีก็เสด็จเข้ามาในห้อง แล้วเดินตรงมาหาลินลาโดยที่เธอไม่คาดคิดมาก่อน

เมื่อพระราชินีมายืนต่อหน้าลินลา พระองค์ก็ทรงกล่าวกับสาวน้อยผู้แสนดีว่า “คนที่เอาใจใส่ต่อการทำงานอย่างหนู คงไม่เหมาะที่จะเป็นเพียงสาวใช้ในวังเท่านั้น ชั้นอยากให้หนูมาเป็นพระพี่เลี้ยงของเจ้าชายกับเจ้าหญิง และคอยดูแลทั้งสองพระองค์ให้เติบโตอย่างมีความสุขจะได้ไหม”

ลินลาตกใจมากที่พระราชินีทรงเชื่อใจให้เธอดูแลพระโอรสและพระธิดาที่พระองค์รักดั่งแก้วตาดวงใจ แต่เมื่อพระราชินีทรงยืนยันว่าพระองค์เชื่อในความเอาใจใส่ของลินลาที่น่าจะดูแลเจ้าชายกับเจ้าหญิงได้อย่างวิเศษ ลินลาจึงรู้สึกปลาบปลื้มและรับทำงานให้พระราชินีด้วยความ เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

ในที่สุด ลินลาก็มีงานทำและสามารถดูแลแม่กับน้อง ๆ ได้สมดังที่เธอหวังเอาไว้ ลินลามีความสุขมาก เธอนึกขอบคุณคำสอนของแม่ พร้อมกับสัญญากับตัวเองว่า เธอจะทำงานทุกงานที่ได้รับมอบหมายด้วยความเอาใจใส่ และจะตั้งใจทำงานทั้งหลายอย่างสุดความสามารถ

#นิทานนำบุญ

Posted in นิทานกริมม์, นิทานก่อนนอน, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอน ฮันเซลกับเกรเทล (Hansel and Gretel) | นิทานกริมม์คลาสสิกสำหรับเด็ก

นิทานก่อนนอน ฮันเซลกับเกรเทล (Hansel and Gretel) เป็นหนึ่งในนิทานกริมม์ที่โด่งดังที่สุดในโลก เรื่องเล่าของพี่น้องสองคนที่ถูกพาไปทิ้งกลางป่า และได้เผชิญหน้ากับแม่มดใจร้ายในบ้านขนมหวาน นิทานเรื่องนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่สมัยยุโรปยุคกลาง ก่อนจะถูกเก็บบันทึกและปรับแต่งโดย พี่น้องกริมม์ (Brothers Grimm) ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรวบรวมและตีพิมพ์ นิทานพื้นบ้านเยอรมัน จนกลายเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

ผลงานของกริมม์ไม่ได้เพียงเล่าเรื่องเพื่อความบันเทิง แต่ยังสะท้อนสภาพสังคม วัฒนธรรม และความเชื่อในยุคนั้น เช่น ความยากจน ความหิวโหย ความสัมพันธ์ในครอบครัว และภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในโลกภายนอก นิทาน Hansel and Gretel เวอร์ชันของกริมม์ จึงมักมีบรรยากาศหม่น ๆ และบางช่วงเต็มไปด้วยความโหดร้าย ซึ่งนักวิชาการด้านวรรณกรรมหลายคนมองว่า นิทานกริมม์ทำหน้าที่ทั้ง สอนบทเรียนชีวิต และ สะท้อนความจริงของสังคม ไปพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม นิทานเรื่องนี้ยังได้รับการตีความใหม่และดัดแปลงในหลากหลายรูปแบบ ทั้งในวรรณกรรม ภาพยนตร์ การ์ตูน ละครเวที และแม้กระทั่งดนตรี ทำให้ Hansel and Gretel กลายเป็นนิทานคลาสสิกที่เด็ก ๆ และผู้ใหญ่ทั่วโลกคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

สำหรับเว็บไซต์ นิทานนำบุญ เราได้นำ ฮันเซลกับเกรเทล มาถ่ายทอดใหม่ โดยเรียบเรียงจากเวอร์ชันกริมม์ แต่มีการปรับรายละเอียดบางส่วนให้อ่านง่ายขึ้น เหมาะสำหรับเด็ก และลดทอนความรุนแรงที่อาจไม่เหมาะสม เนื้อเรื่องยังคงรักษาแก่นแท้ของความกล้าหาญ ความรัก และสายใยครอบครัวเอาไว้ เพื่อให้เป็น นิทานก่อนนอนที่ทั้งสนุก น่าติดตาม และสอดแทรกแนวคิดดี ๆ สำหรับเด็ก ๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางป่าลึก บ้านหลังนั้นเป็นของคนตัดไม้ใจดีคนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่กับลูกสองคน คือ “ฮันเซลกับเกรเทล” เด็กชายและเด็กหญิงที่รักกันมาก พวกเขาเติบโตท่ามกลางเสียงนกร้องและกลิ่นไม้หอมในป่า แม้จะยากจน แต่ครอบครัวก็มีความอบอุ่นในทุกวัน

เมื่อแม่ของเด็ก ๆ จากไปอย่างสงบ พ่อได้แต่งงานใหม่กับหญิงคนหนึ่งที่ไม่ค่อยยิ้มแย้ม และไม่ค่อยพูดกับเด็ก ๆ เท่าไรนัก แม้จะอยู่บ้านเดียวกัน แต่ความอบอุ่นกลับลดลงทุกวัน

เมื่อฤดูหนาวมาเยือน อาหารในบ้านเริ่มขาดแคลน พ่อพยายามหาทางออก แต่แม่เลี้ยงกลับพูดเบา ๆ ว่า “ถ้าไม่มีอาหารพอ…ก็คงต้องพาเด็ก ๆ ไปปล่อยไว้ในป่า” พ่อไม่อยากทำ แต่ครอบครัวของเขาก็ลำบากจริง ๆ

คืนก่อนออกเดินทาง ฮันเซลซึ่งได้ยินแม่เลี้ยงคุยกับพ่อ ได้แอบเก็บก้อนกรวดสีขาวใส่กระเป๋า เขาไม่พูดอะไรกับใคร แต่ในใจคิดว่า “เราจะกลับบ้านให้ได้”

เช้าวันใหม่ พ่อพาเด็ก ๆ เดินลึกเข้าไปในป่า ท่ามกลางเสียงใบไม้ไหวและแสงแดดอ่อน ๆ ฮันเซลแอบโรยกรวดเอาไว้ตามทาง

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน พ่อจากเด็ก ๆ ไปอย่างเงียบ ๆ โดยทิ้งเด็ก ๆ เอาไว้กลางป่า เกรเทลน้ำตาคลอ ฮันเซลยิ้มให้เธอ “ไม่ต้องกลัวนะ เราจะตามรอยกรวดกลับบ้าน” และพวกเขาก็เดินตามรอยกรวดจนถึงบ้านอย่างปลอดภัย

เมื่อเห็นเด็ก ๆ กลับมา แม่เลี้ยงก็รู้สึกไม่พอใจมาก เธอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดกับพ่อว่า “พรุ่งนี้ ต้องพาไปให้ไกลกว่าเดิม” พ่อเศร้าใจ แต่ก็จำใจทำตามอีกครั้ง

ครั้งนี้ฮันเซลไม่มีเวลาหากรวด เขาจึงใช้เศษขนมปังแทน แต่ในป่ามีสัตว์มากมาย ทั้งนก กระรอก และกระต่าย เมื่อฮันเซลโรยเศษขนมปัง พวกสัตว์ก็กินเศษขนมปังจนหมด เด็ก ๆ จึงหาทางกลับบ้านไม่ได้

ฮันเซลและเกรเทลหลงทางและเดินลึกเข้าไปในป่า ยิ่งเดิน….ท้องก็ยิ่งร้องด้วยความหิว เสียงใบไม้เริ่มน่ากลัว แต่สองพี่น้องจับมือกันไว้แน่น “พี่อย่าทิ้งหนูนะ” เกรเทลพูดเบา ๆ ฮันเซลพยักหน้าและเดินต่อไปอย่างกล้าหาญ

แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็ปรากฏ ท่ามกลางต้นไม้สูง มีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ บ้านหลังนั้นไม่เหมือนบ้านทั่วไป เพราะมันทำจากขนมหวาน หลังคาทำจากพายแอปเปิ้ล หน้าต่างเป็นคัพเค้กสีชมพู ประตูเป็นบราวนี่หนานุ่ม ผนังบ้านเป็นเค้กช็อกโกแลตโรยน้ำตาล ลูกกวาดหลากสีห้อยระย้าเหมือนโคมไฟ และมีสายไหมฟูฟ่องล้อมรอบบ้านเหมือนเมฆ

เด็ก ๆ ตื่นตาตื่นใจจนเผลออุทานว่า “ว้าว! บ้านขนมของจริงเลยนะเนี่ย” เกรเทลร้อง ฮันเซลยิ้มกว้าง “หิวจังเลย ลองชิมดูไหม” พวกเขาเริ่มกินขอบหน้าต่างคัพเค้ก และกัดประตูบราวนี่อย่างเอร็ดอร่อย

ในขณะนั้นเอง มีหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน เธอยิ้มและพูดเสียงนุ่มว่า “เด็กน้อยเอ๋ย เข้ามาสิ บ้านนี้มีขนมอีกมากมาย” เด็ก ๆ ดีใจและเดินเข้าไปโดยไม่รู้ว่าเธอคือแม่มด

แม่มดแสร้งทำทีใจดี เธอให้เกรเทลช่วยทำงานบ้าน แต่ขังฮันเซลไปนอนพักผ่อนในกรงขนาดใหญ่ “กินเยอะ ๆ นะ จะได้อ้วน” เธอพูดพร้อมยื่นขนมให้ทุกวัน

ฮันเซลเริ่มสงสัยว่าทำไมแม่มดชอบให้เขากินกับนอน และเขาสังเกตว่าแม่มดชอบจับมือเขาเหมือนจะวัดอะไรบางอย่าง จนวันหนึ่งเกรเทลได้ยินแม่มดรำพึงว่า “เมื่อไหร่จะอ้วนสักทีนะ จะได้จับไปอบกินให้หนำใจ” เมื่อเกรเทลนำเรื่องมาเล่าให้ฮันเซลฟัง เขาก็รู้ในทันทีว่า แม่มดต้องการเลี้ยงให้เขาอ้วนเพื่อจับกินเป็นอาหาร

ฮันเซลจึงคิดหาวิธีรับมือกับแม่มด เขารู้ว่าแม่มดแก่มากและสายตาไม่ดี เมื่อแม่มดเข้ามาขอจับมือเขา เขาจึงซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อแล้วยื่นกระดูกเล็ก ๆ ผ่านลูกกรงให้แม่มดจับแทน ด้วยเหตุนี้ แม่มดจึงรู้สึกว่า ฮันเซลผอมจนเหลือแต่กระดูก

เวลาผ่านไปนานพอสมควร แม่มดเริ่มหงุดหงิด “เมื่อไหร่จะอ้วนขึ้นสักทีนะ” แม่มดรำพึงเสียงดัง เกรเทลได้ยินแล้วใจคอไม่ดี เธอจึงตั้งสติและเริ่มคิดหาทางช่วยพี่ชาย

วันหนึ่งแม่มดสั่งให้เกรเทลตรวจเตาอบ “ดูสิว่าเตาอบยังใช้งานได้ปกติไหม”

เกรเทลสังเกตเตาอบและเห็นว่าที่ฝาเตาอบมีที่ล็อก เกรเทลเห็นโอกาส เธอจึงแกล้งทำเป็นพบสิ่งผิดปกติภายในเตาอบ แล้วพูดกับแม่มดว่า “หนูเห็นอะไรบางอย่างวิบ ๆ วับ ๆ อยู่ในเตาอบ คุณยายช่วยดูให้หน่อยได้ไหม”

แม่มดมีสมบัติสะสมอยู่มาก เมื่อได้ยินเกรเทลพูดคำว่าวิบ ๆ วับ ๆ แม่มดจึงตกใจคิดว่าตัวเองเผลอทำเครื่องเพชรหรือเครื่องประดับหลุดเข้าไปในเตาอบ แม่มดจึงรีบวิ่งและมุดเข้าไปดู เมื่อเกรเทลสบโอกาส เกรเทลจึงผลักก้นแม่มดอย่างแรง แล้วปิดฝาเตาอบพร้อมกับล็อกแม่มดเอาไว้ จากนั้น เธอรีบวิ่งไปหาฮันเซล “พี่ เราต้องรีบหนี!”

ก่อนออกจากบ้าน เกรเทลซึ่งทำความสะอาดบ้านจนรู้ว่าแม่มดมีหีบใบใหญ่ที่ภายในมีเหรียญทองและอัญมณีระยิบระยับอยู่เต็มไปหมด ได้ตัดสินใจชวนพี่ชายให้ช่วยกันนำสมบัติเหล่านั้นติดตัวกลับบ้านด้วย

เมื่อกลับถึงบ้าน เด็ก ๆ เห็นพ่อกำลังนั่งร้องไห้เพราะพ่อรู้สึกผิดและคิดถึงลูก เมื่อพ่อเงยหน้าแล้วเห็นฮันเซลและเกรเทลกลับมา พ่อก็ร้องไห้พร้อมกับส่งเสียงว่า “ลูกรักของพ่อ” หลังจากนั้นพ่อก็รีบวิ่งเข้ากอดลูกทั้งสองคนเอาไว้แน่น (ส่วนแม่เลี้ยงที่เห็นพ่อเอาแต่ร้องไห้และออกตามหาลูก ๆโดยไม่สนใจเธอ แม่เลี้ยงก็เก็บของออกจากบ้านโดยปล่อยให้พ่ออยู่ที่บ้านตามลำพังมานานแล้ว)

ในที่สุด ฮันเซล เกรเทล และพ่อก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น และมีสมบัติที่ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ส่วนเรื่องราวของแม่มดและบ้านขนมหวานก็ไม่มีใครเคยได้ยินอีกเลย

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความฉลาดและไหวพริบช่วยให้รอดพ้นจากอันตราย
  • ความรักและความสามัคคีในครอบครัวทำให้สามารถก้าวผ่านอุปสรรคไปได้
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอน เจ้าบ่าวของหนูสาว – เรื่องของความรักที่อยู่ใกล้กว่าที่คิด

“เจ้าบ่าวของหนูสาว” (The Mouse Bride หรือ The Most Powerful Husband) คือหนึ่งในนิทานพื้นบ้านจีนโบราณที่มีชื่อเสียง และถูกเล่าต่อกันมาอย่างยาวนานทั่วทั้งเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม นิทานเรื่องนี้มีเนื้อหาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เล่าถึงครอบครัวหนูที่แสวงหาว่าที่เจ้าบ่าวที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ให้กับลูกสาวแสนสวย และในการเดินทางตามหาว่าที่เจ้าบ่าว พวกเขาได้เรียนรู้ว่า “พลังที่แท้จริง” อาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด

ในเวอร์ชันนี้ — ซึ่งจัดทำขึ้นใหม่ในรูปแบบ “นิทานก่อนนอน” ที่เหมาะกับเด็ก ๆ สมัยใหม่ — ผู้เขียนได้ปรับภาษาให้นุ่มนวล อ่านง่าย และเพิ่มเสน่ห์ด้วยภาพประกอบแสนน่ารักที่ช่วยกระตุ้นจินตนาการของเด็ก ๆ ทั้งยังคงรักษาแก่นของนิทานต้นฉบับไว้ครบถ้วน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเล่านิทานก่อนนอน เพื่อสร้างบทสนทนาที่อบอุ่นระหว่างพ่อแม่กับลูก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหนูสาวตัวหนึ่งเป็นหนูสาวที่มีหน้าตาน่ารักที่สุดในโลก เมื่อหนูสาวเติบโตถึงวัยที่ควรจะมีครอบครัว พ่อกับแม่ของหนูสาวจึงคิดหาคู่ครองที่เหมาะสมให้แก่ลูกสาวสุดที่รัก

เจ้าบ่าวคนแรกที่พ่อหนูนึกถึงก็คือพระอาทิตย์ผู้มีแสงเจิดจ้า แต่เมื่อพ่อหนูกับแม่หนูไปบอกกับพระอาทิตย์ว่าพวกตนกำลังตามหาเจ้าบ่าวที่เก่งกาจให้ลูกสาว พระอาทิตย์ก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขาให้เหตุผลว่า

“ฉันไม่ใช่ผู้ที่เก่งกาจที่สุดหรอก ก้อนเมฆต่างหากที่เก่งกาจกว่าฉัน ดูสิ..เพียงแค่เมฆลอยผ่านมา มันก็บดบังฉันจนมิด ฉันว่า..เมฆน่าจะเป็นเจ้าบ่าวที่เหมาะสมกว่าฉันนะ”

พ่อหนูกับแม่หนูเห็นจริงตามที่พระอาทิตย์ชี้แจง ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหาก้อนเมฆ เพื่อขอให้ก้อนเมฆแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อก้อนเมฆได้ฟังคำของพ่อหนูกับแม่หนู ก้อนเมฆก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขากล่าวว่า

พ่อหนูกับแม่หนูเห็นจริงตามคำของก้อนเมฆ ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหา สายลมเพื่อขอให้สายลมแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อสายลมได้ฟังคำของพ่อหนูกับแม่หนู สายลมก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขาบอกว่า

พ่อหนูกับแม่หนูเห็นจริงตามคำของสายลม ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหากำแพง เพื่อขอให้กำแพงแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อกำแพงได้ฟังคำของพ่อหนูกับแม่หนู กำแพงก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขาบอกว่า

“ฉันไม่ใช่ผู้ที่เก่งกาจที่สุดหรอก ยังมีคนอื่นที่เก่งกาจมากกว่าฉัน ดูสิ..เขาใช้ฟันเจาะตัวฉันจนเป็นรูได้ด้วย ฉันว่า..เขาน่าจะเป็นเจ้าบ่าวที่เหมาะสมมากกว่าฉันนะ”

พ่อหนูกับแม่หนูดูรูที่กำแพง แล้วก็รู้สึกคล้อยตามคำพูดที่ได้ฟัง ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหา “ผู้เก่งกาจ” เพื่อขอให้เขาแต่งงานกับลูกสาวของตน และมันก็เป็นเรื่องที่เหมือนกับพรหมลิขิต! เพราะผู้เก่งกาจที่กำแพงพูดถึงก็คือหนูหนุ่มคู่รักของหนูสาวนั่นเอง

หนูหนุ่มดีใจมากที่จู่ ๆ พ่อกับแม่ของหนูสาว ก็มาขอให้มันแต่งงานกับหนูสาวที่มันเฝ้าฝันถึง หนูหนุ่มรีบตอบตกลงอย่างไม่มีเงื่อนไข ส่วนพ่อหนูกับแม่หนูก็ดีใจ ที่พวกมันสามารถหาเจ้าบ่าวผู้เก่งกาจ ให้แก่ลูกสาวได้เป็นผลสำเร็จ

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • อย่าตัดสินใครจากฐานะหรือรูปลักษณ์ภายนอก
  • การมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของผู้อื่น คือสิ่งสำคัญยิ่งในความสัมพันธ์
  • ผู้ปกครองควรฟังความรู้สึกของลูก ไม่ใช่ตัดสินใจแทนโดยลำพัง

#นิทานโบราณ

หนูสาวในชุดกระโปรงชมพูยืนเคียงข้างหนูหนุ่มในชุดเอี๊ยมฟ้า ท่ามกลางท้องฟ้าแจ่มใสและแสงอาทิตย์ สื่อถึงความรักและการแต่งงานในนิทาน “เจ้าบ่าวของหนูสาว”
เพลงเล่านิทาน “เจ้าบ่าวของหนูสาว” เพลงสนุก ฟังเพลิน ถ่ายทอดความรักแท้ผ่านตัวละครหนูสาวและหนูหนุ่ม