Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานสอนใจ

เด็กน้อยกับปิศาจ : นิทานสอนใจเรื่องความรอบคอบ

นิทานเรื่องนี้เล่าถึง “เด็กน้อยผู้มีน้ำใจ” ที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางคำสอนของแม่ให้รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากใต้พื้นดิน เด็กน้อยไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วยทันทีโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา แต่สิ่งที่เขาช่วยกลับไม่ใช่คนตกทุกข์ได้ยาก หากแต่เป็น “ปิศาจร้าย” ที่ถูกขังไว้ในหม้อมนตรา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เด็กน้อยต้องเผชิญบทเรียนสำคัญของชีวิต ความใจดีที่ขาดความรอบคอบอาจกลายเป็นอันตรายต่อตัวเองและคนที่รักได้ เด็กน้อยต้องใช้ไหวพริบเอาตัวรอดจากปิศาจผู้เนรคุณ ด้วยความกล้า ความฉลาด และความรักที่มีต่อแม่ของเขา

นิทานเรื่อง “เด็กน้อยกับปิศาจ” ไม่ได้สอนเพียงเรื่องของความกล้าและความดีเท่านั้น แต่ยังสอนให้เด็กรู้จักใช้ “สติ” และ “การคิดไตร่ตรอง” ก่อนลงมือทำสิ่งใด เพื่อให้ความดีที่ทำกลายเป็นพลังแห่งปัญญา ไม่ใช่ความประมาทที่นำภัยมาสู่ตนเอง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กน้อยคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ กับแม่ผู้เป็นที่รักของเขา

อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่เด็กน้อยสะพายย่ามออกไปเก็บผักและหาหน่อไม้ในป่าเพื่อนำมาให้แม่ทำกับข้าว จู่ ๆ เด็กน้อยก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากใต้พื้นดิน

เด็กน้อยนึกถึงคำที่แม่เคยสอนให้เขารู้จักช่วยเหลือผู้อื่น เด็กน้อยจึงตัดสินใจขุดดินจนกระทั่งพบหม้อดินซึ่งมีปิศาจถูกขังอยู่ในนั้น

เมื่อเจ้าปิศาจรู้ว่าเด็กน้อยแสนซื่อเป็นคนขุดดินจนเจอหม้อมนตรา มันจึงแกล้งทำเสียงน่าสงสารแล้วร้องขอให้เด็กน้อยช่วยปล่อยมันออกไปจากหม้อ

เด็กน้อยฟังคำของเจ้าปิศาจก็นึกเห็นใจจนลืมคิดให้รอบคอบ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหลงกลแกะผ้ายันต์ที่ปิดปากหม้อออก แล้วปล่อยให้เจ้าปิศาจร้ายได้เป็นอิสระ

เมื่อเจ้าปิศาจออกมาสู่โลกภายนอก มันก็ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น หลังจากนั้น มันก็คว้าตัวเด็กน้อยเอาไว้ด้วยมืออันใหญ่ยักษ์ของมัน พร้อมกับอ้าปากกว้างทำท่าจะจับเด็กน้อยกินให้หายหิว

เด็กน้อยตกใจมากที่เห็นเจ้าปิศาจคิดเนรคุณ แต่เด็กน้อยก็ยังพอมีสติ เขาจึงรีบตะโกนบอกเจ้าปิศาจให้ใจเย็น ๆ แล้วขอร้องเจ้าปิศาจว่า “หากท่านคิดจะกินหนู อย่างน้อย…ในฐานะที่หนูช่วยท่านเอาไว้ หนูอยากขออนุญาตไปลาแม่และขอกินอาหารแสนอร่อยฝีมือแม่อีกสักครั้งจะได้ไหม”

เมื่อเด็กน้อยพูดถึงแม่และอาหารฝีมือแม่ เจ้าปิศาจซึ่งจากแม่มานานก็เห็นใจ มันจึงยอมปล่อยตัวเด็กน้อยเป็นการชั่วคราว โดยมันขอตามไปชิมอาหารที่แม่ของเด็กน้อยทำด้วย

เด็กน้อยโล่งใจที่เขารอดพ้นจากการถูกกินมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ในขณะเดียวกัน การพาปิศาจกลับบ้านก็เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะมันอาจจับแม่ของเขากินเสียอีกคนหนึ่ง เด็กน้อยไม่อยากให้แม่ได้รับอันตราย เขาจึงคิดแผนจัดการกับเจ้าปิศาจด้วยการสืบหาจุดอ่อนของมัน

หลังจากที่เด็กน้อยพาเจ้าปิศาจเดินวนอยู่ในป่าและหลอกถามสลับกับเยินยอต่าง ๆ นานา ในที่สุด เด็กน้อยก็ได้รู้ว่าบุคคลที่เจ้าปิศาจกลัวจนหัวหดก็คือฤาษีจอมขมังเวทย์ผู้ซึ่งเป็นคนเนรมิตหม้อมนตราและจับเจ้าปิศาจขังเอาไว้นานนับร้อย ๆ ปี

แม้ตอนนี้เด็กน้อยจะไม่รู้ว่าท่านฤาษียังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่เขาก็มีแผนดี ๆ ที่น่าจะทำให้เขาจัดการกับเจ้าปิศาจได้สำเร็จ

เมื่อเด็กน้อยคิดแผนการได้ เขาก็พาปิศาจเดินวนกลับไปยังจุดที่เขาขุดเจอหม้อมนตรา เด็กน้อยรอจังหวะที่เจ้าปิศาจเผลอแล้วจึงรีบทำตามแผนที่วางไว้ จากนั้น เด็กน้อยก็พาปิศาจเดินตรงไปยังชายป่าซึ่งเป็นเส้นทางสู่บ้านของเขา…ในช่วงที่แม่กำลังทำอาหารอยู่พอดี

กลิ่นหอมของอาหารฝีมือแม่ทำให้เจ้าปิศาจท้องร้องจ๊อก ๆ เมื่อเด็กน้อยเห็นเจ้าปิศาจหิวจนขาดสมาธิ เด็กน้อยจึงแกล้งบอกเจ้าปิศาจว่า “ท่านปิศาจจ๋า หนูเพิ่งนึกได้ว่าที่ปากทางก่อนออกจากป่า มีอาศรมของฤาษีตั้งอยู่ตรงนั้นด้วย บางทีอาจจะเป็นที่พักของฤาษีจอมขมังเวทย์ก็ได้ หนูว่าท่านน่าจะแปลงร่างให้เล็กลงแล้วเข้าไปซ่อนอยู่ในย่ามของหนูเสียก่อนนะ”

เจ้าปิศาจที่หิวจัดเห็นว่าการเข้าไปหลบอยู่ในย่ามของเด็กน้อยแสนซื่อไม่ใช่เรื่องเสียหาย มันจึงแปลงกายแล้วกระโจนเข้าไปในย่ามของเด็กน้อยอย่างไม่รอช้า

ทันทีที่เจ้าปิศาจกระโดดเข้าไปในย่าม เด็กน้อยก็รีบหยิบผ้ายันต์ที่เขาแอบซุกเอาไว้ออกมา แล้วจัดการนำมันปิดปากหม้อมนตราที่เขาซ่อนเอาไว้ในย่ามตามแผนที่วางไว้

เมื่อเด็กน้อยใช้ยันต์ของฤาษีจอมขมังเวทย์ปิดปากหม้อมนตราแล้ว เจ้าปิศาจจึงถูกขังอยู่ในหม้อใบนั้นดังเดิม

เจ้าปิศาจเพิ่งรู้ตัวว่ามันโดนเด็กน้อยหลอกให้หลงกลอย่างคาดไม่ถึง มันพยายามโอด-ครวญสุดชีวิต แต่คราวนี้เด็กน้อยไม่เชื่อคารมของมันอีกแล้ว มิหนำซ้ำ…เด็กน้อยยังเขียนข้อความเตือนไว้ไม่ให้ใครเผลอแกะผ้ายันต์ออกจากปากหม้ออีกเป็นอันขาด

เด็กน้อยดีใจเหลือเกินที่เขาสามารถจัดการกับเจ้าปิศาจได้สำเร็จ แม้การช่วยเหลือผู้อื่นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่เด็กน้อยก็ได้เรียนรู้แล้วว่า เขาควรคิดให้รอบคอบและช่วยแต่คนที่ควรได้รับความช่วยเหลือจริง ๆ เท่านั้น

เด็กน้อยยิ้มและถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากนั้น เขาก็จัดการฝังหม้อมนตราให้พ้นหูพ้นตาของผู้คนทั้งหลาย

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความดีต้องมาพร้อมกับสติและการไตร่ตรองเสมอ
  • อย่าตัดสินใจช่วยใครเพียงเพราะคำพูดหรือความสงสารในชั่วขณะ
  • คนฉลาดคือคนที่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง
  • ความรักและความห่วงใยในครอบครัวเป็นพลังให้เราฝ่าฟันอันตรายได้
ภาพเด็กน้อยถือย่ามยืนมองหม้อดินที่มีปิศาจถูกขังอยู่ เป็นฉากในนิทานเรื่องเด็กน้อยกับปิศาจ
เด็กน้อยผู้มีน้ำใจเผชิญหน้ากับปิศาจร้ายจากหม้อมนตรา
Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก

นางพญางูขาว : นิทานความรักอมตะจากประเทศจีน

ณ เขาเอ๋อเหมยอันเงียบสงบในแผ่นดินจีนโบราณ มีงูขาวตนหนึ่งชื่อ “ไป๋ซู่เจิน” บำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานานนับพันปี ด้วยใจมุ่งหวังจะหลุดพ้นจากสภาพสัตว์เดรัจฉานและได้เกิดเป็นมนุษย์ นางมีจิตใจเมตตา ไม่เคยทำร้ายผู้ใด และปรารถนาเพียงจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในโลกมนุษย์

ในฤดูใบไม้ผลิวันหนึ่ง เมื่อดอกไม้บานสะพรั่งทั่วเขา ไป๋ซู่เจินตัดสินใจแปลงกายเป็นหญิงสาวงาม พร้อมกับ “เสี่ยวชิง” งูเขียวผู้เป็นสหายซึ่งบำเพ็ญตบะร่วมกันมา ทั้งสองลงจากเขาเพื่อสัมผัสโลกมนุษย์ และเลือกเมืองหังโจวอันงดงามริมทะเลสาบซีหูเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง

วันหนึ่ง ขณะที่ฝนโปรยปรายเบา ๆ ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงเดินทางมาถึงสะพานปั้นหลิน พวกนางไม่มีร่มติดตัว จึงยืนหลบฝนอยู่ใต้ต้นหลิวริมทาง ทันใดนั้น ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินผ่านมา เขาสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา ใบหน้าอ่อนโยน เขายื่นร่มให้หญิงสาวทั้งสองด้วยรอยยิ้ม

“คุณผู้หญิงไม่ควรเปียกฝนเช่นนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ขอเชิญใช้ร่มของข้าสักครู่” ไป๋ซู่เจินรับร่มด้วยความซาบซึ้ง ใจของนางสั่นไหวอย่างประหลาดเมื่อสบตากับชายผู้นั้น เขาคือ “สวี่เซียน” เภสัชกรหนุ่มผู้มีจิตใจดีและอ่อนโยน

สายฝนยังคงตกพรำ ๆ แต่ในใจของไป๋ซู่เจินกลับอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นางรู้สึกถึงความผูกพันลึกซึ้งที่ไม่อาจอธิบายได้ และเมื่อฝนหยุดตก ทั้งสองก็เดินเคียงกันไปจนถึงร้านขายยาเล็ก ๆ ของสวี่เซียน ณ ริมถนนสายหนึ่งในเมืองหังโจว

หลังจากวันฝนตกนั้น ไป๋ซู่เจินและสวี่เซียนเริ่มพบกันบ่อยขึ้น นางแวะมาที่ร้านขายยาทุกวัน บ้างก็ช่วยจัดขวดยา บ้างก็พูดคุยเรื่องสมุนไพรอย่างสนใจ สวี่เซียนรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มของนาง และแม้จะไม่เข้าใจเหตุผล เขาก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้มีบางสิ่งพิเศษที่ดึงดูดใจเขาอย่างลึกซึ้ง

เสี่ยวชิงมองความสัมพันธ์ของทั้งสองด้วยความยินดี แต่ก็อดกังวลไม่ได้ “พี่ไป๋” นางกล่าวเบา ๆ ในคืนหนึ่ง “หากเขารู้ความจริงว่าเราไม่ใช่มนุษย์ เขาจะยังรักพี่อยู่หรือไม่” ไป๋ซู่เจินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยเสียงเศร้า “ข้ารู้…แต่ข้าไม่อาจห้ามใจได้แล้ว”

ไม่นานนัก สวี่เซียนตัดสินใจขอไป๋ซู่เจินแต่งงาน ทั้งสองจัดพิธีเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความสุข เสี่ยวชิงเป็นผู้ดูแลทุกอย่างด้วยความเต็มใจ และร้านขายยาก็กลายเป็นบ้านที่อบอุ่นสำหรับทั้งสามคน ผู้คนในเมืองต่างชื่นชมความเมตตาและความรู้ด้านสมุนไพรของไป๋ซู่เจิน

แต่ความสงบสุขนั้นไม่ยั่งยืน พระสงฆ์นามว่า “ฝาไห่” แห่งวัดจินซานได้ยินข่าวเรื่องหญิงสาวลึกลับที่มีพลังวิเศษ เขาสงสัยว่าไป๋ซู่เจินอาจเป็นปีศาจ จึงเดินทางมายังร้านขายยาเพื่อสังเกตการณ์ “หญิงผู้นั้นมีบางสิ่งไม่ธรรมดา” เขาพึมพำกับตนเอง “ข้าต้องเปิดเผยความจริง”

ฝาไห่ยืนสงบนิ่งใต้ต้นสนหน้าร้าน ดวงตาทอดมองไปยังทะเลสาบซีหูอย่างครุ่นคิด “ปีศาจงูแม้มีใจเมตตา ก็ยังมิอาจละวางสภาพเดรัจฉาน” เขาพึมพำ “หากปล่อยให้มนุษย์หลงใหลในรูปกายที่แปรเปลี่ยนได้ โลกย่อมสับสนระหว่างธรรมกับอธรรม” พระสงฆ์มิได้โกรธเกลียดไป๋ซู่เจิน หากแต่เชื่อมั่นในหลักศีลธรรมที่ต้องปกป้อง

ฝาไห่แสร้งทำเป็นคนป่วยและขอให้ไป๋ซู่เจินรักษา นางให้ยาด้วยความเมตตา แต่สายตาของพระสงฆ์ยังจับจ้องอย่างไม่วางใจ วันหนึ่ง เขาเชิญสวี่เซียนไปที่วัด และกล่าวว่า “เจ้าถูกหลอกโดยปีศาจงู หากไม่เชื่อ ลองให้ภรรยาเจ้าดื่มสุราศักดิ์สิทธิ์ดูสิ” สวี่เซียนลังเล แต่ความสงสัยเริ่มก่อตัวในใจ

เมื่อกลับถึงบ้าน สวี่เซียนนำสุราศักดิ์สิทธิ์มาให้ไป๋ซู่เจินดื่ม โดยอ้างว่าเป็นของขวัญจากวัด นางรับไว้ด้วยมือที่สั่นไหว “เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าอยากให้ข้าดื่ม?” นางถามด้วยเสียงแผ่วเบา สวี่เซียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างลังเล “ข้า…แค่อยากรู้ความจริง”

ไป๋ซู่เจินหลับตา สูดลมหายใจลึก แล้วจิบสุราอย่างช้า ๆ ร่างของนางเริ่มสั่นไหว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นงูขาวขนาดใหญ่กลางห้อง เสียงร้องของสวี่เซียนดังขึ้น “ไม่นะ…นี่มัน…” เขาถอยหลังไปจนชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือด “เจ้าคือ…ปีศาจงู?” เขาพึมพำด้วยเสียงสั่น

ไป๋ซู่เจินพยายามแปลงกายกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง ดวงตานางเต็มไปด้วยน้ำตา “ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อเจ้าเลย ข้ารักเจ้าอย่างแท้จริง” แต่สวี่เซียนไม่อาจรับความจริงได้ เขาวิ่งออกจากบ้านไปโดยไม่หันกลับมา ทิ้งให้นางทรุดลงกับพื้นด้วยหัวใจที่แตกสลาย

ฝาไห่ปรากฏตัวขึ้นทันที เขาใช้เวทมนตร์สะกดสวี่เซียนและพาไปยังวัดจินซาน ไป๋ซู่เจินเมื่อฟื้นคืนสติ ก็พบว่าสามีของตนหายไป นางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เสี่ยวชิงพยายามปลอบ “พี่ไป๋ เราต้องไปช่วยเขา” นางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ว่าเขาจะเกลียดเราหรือไม่ เราก็ต้องไม่ทอดทิ้งเขา”

ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงเดินทางไปยังวัดจินซาน ฝนตกหนักตลอดทาง ฟ้าร้องคำรามราวกับสะท้อนความโกรธของนาง เมื่อถึงวัด นางตะโกนเรียกฝาไห่ “คืนสามีของข้ามา!” พระสงฆ์ตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าคือปีศาจ เจ้าหลอกลวงมนุษย์ ข้าไม่มีวันยอมให้เขากลับไป”

สายฟ้าฟาดลงกลางลานวัดจินซาน ขณะที่ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงยืนเผชิญหน้ากับฝาไห่ “ข้าขอเพียงสามีของข้า” นางตะโกน ฝาไห่ยกไม้เท้าขึ้น ท่องมนต์ด้วยเสียงหนักแน่น “ปีศาจไม่ควรข้องเกี่ยวกับมนุษย์!” พลังเวทปะทะกันกลางอากาศ เสี่ยวชิงแปลงร่างเป็นงูเขียวขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่ม่านเวทมนตร์ ขณะที่ไป๋ซู่เจินเรียกพลังจากธรรมชาติ น้ำในทะเลสาบพลุ่งพล่านราวกับโกรธเกรี้ยว

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงคำรามของฟ้าผ่าดังสะท้อนทั่ววัด เสี่ยวชิงต้านเวทมนตร์ด้วยสุดกำลัง แต่ฝาไห่ก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่นางคาดไว้ ไป๋ซู่เจินเริ่มอ่อนแรง ร่างของนางสั่นไหวด้วยพลังที่ลดลง “พี่ไป๋ หากข้าต้องกลายเป็นปีศาจตลอดกาลเพื่อช่วยเจ้า ข้าก็ยอม” เสี่ยวชิงตะโกนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ไป๋ซู่เจินหันมามองน้องสาวด้วยน้ำตา “ข้าไม่เคยขอให้เจ้าทำเช่นนั้น” เสี่ยวชิงยิ้ม “แต่ข้าเลือกเอง เพราะข้ารู้ว่าความรักของพี่คือสิ่งบริสุทธิ์ที่สุดที่ข้าเคยเห็น” พลังสุดท้ายของทั้งสองพุ่งเข้าหาฝาไห่ แต่พระสงฆ์ใช้เวทสะกดไป๋ซู่เจินไว้ใต้เจดีย์เล่าจินถ่า ร่างของนางหายไปในแสงสีทอง ทิ้งไว้เพียงเสียงสะท้อนแห่งความรัก

ใต้เจดีย์เล่าจินถ่า ไป๋ซู่เจินถูกสะกดไว้ด้วยเวทมนตร์อันแรงกล้า นางไม่อาจขยับเขยื้อนหรือแปลงกายได้อีก เสียงสายฝนยังคงตกกระทบหลังคาเจดีย์ราวกับสะท้อนความเศร้าในใจของนาง “สวี่เซียน…” นางพึมพำเบา ๆ “ข้ายังรักเจ้า แม้เจ้าจะไม่อภัยให้ข้าก็ตาม” ความรักของนางยังคงอยู่ แม้จะถูกจองจำในความเงียบงัน

สวี่เซียนเมื่อฟื้นจากมนต์สะกด ก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจ เขาเดินกลับไปยังบ้านที่เคยอยู่กับไป๋ซู่เจิน ทุกสิ่งยังคงอยู่เช่นเดิม แต่ไร้ชีวิตชีวา เขาเริ่มคิดถึงรอยยิ้มของนาง เสียงหัวเราะ และความอบอุ่นที่เคยมี “นางไม่เคยทำร้ายข้าเลย” เขาคิด “ข้าทำผิดไปแล้ว”

ด้วยความสำนึกผิด สวี่เซียนเดินทางไปยังวัดจินซานทุกวัน เขานั่งสวดมนต์หน้าบันไดเจดีย์ ขอให้พระเมตตาปลดปล่อยภรรยาของเขา “นางคือผู้หญิงที่มีจิตใจงดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ” เขากล่าวกับฝาไห่ “หากนางเป็นปีศาจจริง ก็เป็นปีศาจที่มีหัวใจมนุษย์”

วันเวลาผ่านไปหลายปี สวี่เซียนไม่เคยละทิ้งความหวัง เสี่ยวชิงซึ่งรอดพ้นจากการสะกด ได้บำเพ็ญตบะจนกลายเป็นเซียน นางกลับมาที่วัดจินซานอีกครั้ง และใช้พลังช่วยปลดปล่อยไป๋ซู่เจินจากเจดีย์ เวทมนตร์ของฝาไห่อ่อนกำลังลงตามกาลเวลา และในที่สุด เจดีย์ก็สั่นสะเทือนก่อนจะแตกออก

ไป๋ซู่เจินกลับคืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง นางพบสวี่เซียนที่ยังคงรอคอยอยู่หน้าวัด ดวงตาทั้งสองสบกันด้วยความเข้าใจและให้อภัย “ข้ารักเจ้าเสมอ” สวี่เซียนกล่าว “และข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหายไปอีก” ทั้งสองโอบกอดกันท่ามกลางสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ ราวกับโลกทั้งใบหยุดนิ่งเพื่อรับรู้ถึงความรักที่ไม่เคยจางหาย

เรื่องราวของนางพญางูขาวจึงกลายเป็นตำนานแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ สะท้อนถึงความเมตตา ความเสียสละ และความจริงใจที่ไม่อาจถูกทำลายด้วยอคติหรือความกลัว ผู้คนเล่าขานถึงสะพานในวันฝนตก วัดจินซาน และเจดีย์เล่าจินถ่า ว่าเป็นพยานแห่งรักแท้ระหว่างปีศาจกับมนุษย์ ที่แม้ต่างเผ่าพันธุ์ ก็ยังรักกันได้ด้วยหัวใจ

Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานสอนใจ

ช่างตีเหล็กกับปีศาจ

นิทานเรื่อง “ช่างตีเหล็กกับปีศาจ” (The Blacksmith and the Devil) เป็นนิทานพื้นบ้านจากยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะในแถบรัสเซียและยูเครน ซึ่งมีการเล่าขานกันมายาวนานในหมู่ชาวบ้านและช่างฝีมือ เรื่องนี้ได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในหนังสือ Tales and Legends from the Land of the Tzar (1891) โดย Edith M. S. Hodgetts ผู้เรียบเรียงและแปลนิทานพื้นบ้านรัสเซียเป็นภาษาอังกฤษ หนังสือเล่มนี้ถือเป็นแหล่งต้นฉบับหลักที่ใช้ในการเรียบเรียงนิทานฉบับภาษาไทยครั้งนี้ โดยยึดตามโครงเรื่องดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด

นักวิชาการด้านวรรณกรรมเปรียบเทียบมักจัดนิทานเรื่องนี้ไว้ในกลุ่ม “นิทานต่อรองกับปีศาจ” เช่นเดียวกับ Faustbuch (1587) จากเยอรมนี หรือ The Devil and Tom Walker จากอเมริกา โดยมีโครงสร้างคล้ายกันคือ ตัวละครหลักทำข้อตกลงกับปีศาจเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่ปรารถนา แต่สิ่งที่ทำให้ “ช่างตีเหล็กกับปีศาจ” โดดเด่นคือการใช้ไหวพริบและภูมิปัญญาชาวบ้านในการพลิกสถานการณ์อย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยไม่ต้องพึ่งเวทมนตร์หรือปรัชญาลึกซึ้ง เป็นนิทานที่เข้าถึงได้ง่ายและให้ความรู้สึกสนุกแบบพื้นบ้าน

เราเลือกเรียบเรียงนิทานเรื่องนี้ใหม่ เพราะมันให้อารมณ์ที่ต่างจาก “ฟาวสต์” อย่างชัดเจน คือไม่ใช่เรื่องของนักปราชญ์ผู้แสวงหาความรู้เหนือธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องของช่างฝีมือธรรมดาที่ใช้ไหวพริบเอาชนะสิ่งลี้ลับด้วยมือเปล่า การเรียบเรียงเป็นไปโดยยึดตามต้นฉบับของ Hodgetts เพียงเล่มเดียว ไม่เติมเนื้อหาใหม่ แต่ปรับภาษาให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย และเหมาะกับผู้อ่านร่วมสมัย หากท่านสนใจอ่านต้นฉบับ สามารถค้นหาได้จากแหล่งออนไลน์ เช่น Wikisource โดยใช้คำค้นว่า “The Blacksmith and the Devil by Hodgetts”

ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในป่าลึก มีช่างตีเหล็กผู้หนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องฝีมืออันยอดเยี่ยม เขาสามารถตีเหล็กให้เป็นรูปทรงใด ๆ ก็ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเกือกม้า ดาบ หรือเครื่องมือเกษตร งานทุกชิ้นล้วนแข็งแรงและงดงามจนผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงต่างพากันมาใช้บริการ

ช่างตีเหล็กผู้นี้มีนิสัยห้าวหาญ พูดจาตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวสิ่งใด แม้แต่เรื่องเล่าของปีศาจที่ชาวบ้านมักพูดถึง เขาก็มักหัวเราะเยาะเมื่อได้ยินคนพูดถึงการทำข้อตกลงกับปีศาจ “ข้าไม่กลัวมันหรอก” เขาพูดเสมอ “ถ้ามันกล้ามา ข้าจะตีมันให้กลายเป็นเกือกม้าเสียเลย”

วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งพักหลังจากทำงานหนักมาตลอดวัน เขาเริ่มครุ่นคิดถึงชีวิตของตนเอง แม้จะมีฝีมือดี แต่เขาก็ยังไม่ร่ำรวยเท่าที่ควร เขาอยากมีเงินทองมากกว่านี้ อยากให้ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปไกลกว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เขาอาศัยอยู่

ในค่ำคืนที่เงียบสงัด ขณะที่เขานั่งอยู่หน้าเตาไฟในโรงตีเหล็ก เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างอย่างแผ่วเบา เขาเอ่ยขึ้นลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง “ถ้าปีศาจมีจริง ข้าก็อยากจะทำข้อตกลงกับมันเสียหน่อย ให้ข้าได้ร่ำรวยและมีชื่อเสียง แล้วข้าจะยอมทำอะไรก็ได้ตามที่มันต้องการ”

ทันใดนั้น เปลวไฟในเตาเหล็กพลันลุกโชนขึ้นอย่างผิดปกติ และเงาดำรูปร่างประหลาดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากเงานั้น “เจ้ากล่าวเรียกข้าใช่หรือไม่ ช่างตีเหล็ก?” ชายผู้นั้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ถอยหนี เขายืนขึ้นอย่างมั่นคง “ถ้าเจ้าเป็นปีศาจจริง ก็มาเจรจากันเถอะ”

ปีศาจยืนอยู่กลางแสงไฟที่ลุกโชนจากเตาเหล็ก ดวงตาของมันแดงวาวเหมือนถ่านที่เพิ่งถูกพัดให้ร้อนจัด “ข้าสามารถให้เจ้าได้ทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา” มันกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “เงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ เพียงแต่เจ้าต้องให้ข้าสิ่งหนึ่งตอบแทน” ช่างตีเหล็กขมวดคิ้ว “สิ่งนั้นคืออะไร?” ปีศาจยิ้มอย่างเยือกเย็น “วิญญาณของเจ้า”

ช่างตีเหล็กนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าการทำข้อตกลงเช่นนี้มีราคาที่ต้องจ่าย แต่ความปรารถนาในใจเขาก็แรงกล้าเกินกว่าจะปฏิเสธ “ข้าจะให้เจ้าในวันที่ข้าตาย” เขากล่าว “แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าต้องทำตามคำสั่งของข้า ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ข้าเรียก” ปีศาจหัวเราะเบา ๆ “ตกลงตามนั้น” แล้วมันก็หายวับไปในเงาไฟ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นกำมะถันและความรู้สึกเย็นวาบในอากาศ

ตั้งแต่นั้นมา ชีวิตของช่างตีเหล็กเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขามีเงินทองมากมาย ลูกค้าหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปไกลกว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เขาเคยอยู่ เขาสร้างบ้านหลังใหญ่ มีคนรับใช้ และใช้ชีวิตอย่างที่ไม่เคยฝันว่าจะได้สัมผัส

แต่แม้จะมีทุกสิ่ง เขากลับรู้สึกว่างเปล่าในบางคืน เมื่อเขานั่งอยู่คนเดียวหน้าเตาไฟ ความเงียบในบ้านหลังใหญ่ทำให้เขานึกถึงวันเก่า ๆ ที่เขาเคยตีเหล็กด้วยมือเปล่าและหัวใจที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิ ปีศาจยังคงปรากฏตัวเมื่อเขาเรียก และทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แต่สายตาของมันมักแฝงรอยยิ้มที่ชวนให้ไม่สบายใจ

วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งอยู่ในโรงตีเหล็กเก่าเพื่อรำลึกความหลัง เขาเอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยากให้เจ้าลองเข้าไปในเตาไฟ แล้วดูว่าข้าจะตีเจ้าให้เป็นอะไรได้บ้าง” ปีศาจปรากฏตัวขึ้นทันที “เจ้ากำลังล้อเล่นหรือ?” ช่างตีเหล็กยิ้ม “ข้าไม่เคยล้อเล่นเรื่องงานของข้า” ปีศาจลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปในเตาเหล็กตามคำสั่ง

ทันทีที่ปีศาจก้าวเข้าไปในเตาเหล็ก ช่างตีเหล็กก็รีบปิดประตูเตาอย่างรวดเร็ว แล้วใช้คีมหนีบร่างของมันไว้แน่น เขาหยิบค้อนเหล็กขึ้นมา และเริ่มตีปีศาจอย่างไม่ลังเล เสียงโลหะกระทบกับผิวหนังของปีศาจดังก้องไปทั่วโรงตีเหล็ก ปีศาจร้องด้วยความเจ็บปวด “หยุด! เจ้าทำอะไร!” ช่างตีเหล็กตอบด้วยเสียงเย็น “ข้ากำลังตีเจ้าให้เป็นเกือกม้า ตามคำสัญญา”

ปีศาจดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่ไม่อาจหลุดจากคีมของช่างตีเหล็กได้ เปลวไฟในเตาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ราวกับโกรธแค้นที่เจ้าของมันถูกตี ช่างตีเหล็กยังคงตีต่อไปด้วยความมั่นคง ไม่ใช่ด้วยความโกรธ แต่ด้วยความตั้งใจ เขาตีจนปีศาจอ่อนแรงลง และเสียงร้องของมันกลายเป็นเสียงครางเบา ๆ

เมื่อเห็นว่าปีศาจหมดแรง ช่างตีเหล็กจึงหยุดมือ เขาเปิดเตาและปล่อยให้ปีศาจออกมา ร่างของมันสั่นเทา ดวงตาแดงวาวเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความอับอาย “เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร?” ปีศาจถาม ช่างตีเหล็กยิ้ม “ข้าก็แค่ใช้สิ่งที่ข้ามี คือ ค้อน เหล็ก และไหวพริบ”

ปีศาจถอยหลังไปอย่างระแวดระวัง “เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ?” มันถามด้วยเสียงแผ่ว ช่างตีเหล็กเดินเข้าไปใกล้ “ข้าจะไม่ยกวิญญาณให้เจ้า ข้าจะใช้สัญญานั้นให้เป็นประโยชน์ และข้าจะไม่กลัวเจ้าอีกต่อไป” ปีศาจจ้องเขาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้

จากวันนั้นเป็นต้นมา ช่างตีเหล็กกลายเป็นคนที่ผู้คนเคารพยำเกรง ไม่ใช่เพียงเพราะฝีมือ แต่เพราะเขาเคยปราบปีศาจด้วยค้อนของตนเอง ปีศาจยังคงปรากฏตัวเมื่อถูกเรียก แต่ไม่กล้าแสดงอำนาจอีกต่อไป มันกลายเป็นผู้รับใช้ที่เงียบงัน และช่างตีเหล็กก็ใช้ชีวิตอย่างสงบ แม้จะรู้ดีว่าสัญญายังไม่สิ้นสุด

เวลาผ่านไปหลายปี ช่างตีเหล็กแก่ตัวลง แต่ยังคงทำงานด้วยความขยันขันแข็ง วันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งพักใต้ต้นไม้หน้าโรงตีเหล็ก เขารู้สึกว่าร่างกายเริ่มอ่อนแรงกว่าที่เคย เขาหลับตาและนึกถึงสัญญาที่เคยทำไว้กับปีศาจ “ถึงเวลาที่เจ้าจะมาเอาสิ่งที่เจ้าต้องการแล้วกระมัง” เขาพึมพำกับตนเอง

ปีศาจปรากฏตัวขึ้นทันที ร่างของมันดูใหญ่โตและน่ากลัวกว่าครั้งก่อน “เจ้าพร้อมจะไปกับข้าแล้วหรือยัง?” มันถามด้วยเสียงเย็นชา ช่างตีเหล็กยิ้มอย่างอ่อนแรง “ข้ายังมีคำสั่งสุดท้ายให้เจ้าทำก่อนจะไป” ปีศาจเลิกคิ้ว “ว่ามา” ช่างตีเหล็กชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ “ข้าต้องการให้เจ้าปีนขึ้นไปบนยอดไม้ แล้วเก็บใบไม้ใบหนึ่งมาให้ข้า”

ปีศาจหัวเราะ “ง่ายเกินไปสำหรับข้า” มันกระโดดขึ้นต้นไม้ทันที แต่เมื่อมันแตะกิ่งไม้ ช่างตีเหล็กก็เอ่ยคำสั่งเสียงดัง “ข้าสั่งให้เจ้าติดอยู่บนต้นไม้นั้นจนกว่าจะมีคำสั่งใหม่!” ปีศาจร้องด้วยความตกใจ มันพยายามดิ้นรน แต่ไม่สามารถลงมาได้ “เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว!” มันตะโกน ช่างตีเหล็กหัวเราะเบา ๆ “ข้าแค่ใช้สิ่งที่ข้ามี…อีกครั้ง”

ปีศาจติดอยู่บนต้นไม้เป็นเวลานาน ไม่สามารถลงมาได้ แม้จะพยายามทุกวิถีทาง ช่างตีเหล็กใช้ชีวิตอย่างสงบในช่วงบั้นปลาย โดยไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป เขาเล่าเรื่องนี้ให้ลูกหลานฟัง พร้อมคำเตือนว่า “อย่าได้ทำข้อตกลงกับสิ่งที่เจ้าควบคุมไม่ได้ เว้นแต่เจ้าจะมีไหวพริบมากพอที่จะชนะมัน”

เมื่อช่างตีเหล็กสิ้นชีวิต ปีศาจก็ยังคงติดอยู่บนต้นไม้ และเรื่องราวของเขาก็กลายเป็นนิทานที่เล่าขานกันในหมู่บ้านและทั่วแคว้น ว่าแม้ปีศาจจะมีอำนาจมากเพียงใด แต่หากมนุษย์มีสติ ไหวพริบ และความกล้าหาญ ก็สามารถเอาชนะมันได้ นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเล่า หากเป็นบทเรียนที่ฝากไว้ให้คนรุ่นหลัง

Posted in นิทานความรัก, นิทานสำหรับเด็กและผู้ใหญ่, เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน “เจ้าบ่าวของหนูสาว” | นิทานฟังเพลินจากเรื่องรักแท้ที่อบอุ่นหัวใจ

เพลงเล่านิทานเรื่อง “เจ้าบ่าวของหนูสาว” เป็นบทเพลงที่ผมแต่งขึ้นจากนิทานพื้นบ้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในหลายประเทศทั่วเอเชีย โดยเฉพาะในจีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม นิทานเรื่องนี้มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า The Mouse Bride หรือ The Most Powerful Husband และในภาษาจีนว่า 老鼠嫁女 ซึ่งแปลว่า “หนูแต่งลูกสาว”

นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนูที่ออกเดินทางตามหาเจ้าบ่าวที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” (ผมใช้คำว่าแข็งแกร่งที่สุด) ให้กับลูกสาวแสนสวย นิทานเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังมันสะท้อนถึงการแสวงหาคุณค่าที่แท้จริงของความรัก ที่ไม่ได้ขึ้นกับความแข็งแกร่งหรือยิ่งใหญ่ แต่อยู่ที่จิตใจ ความห่วงใย และความผูกพันที่มีให้กัน

ในการแต่งเพลง ๆ นี้ ผมใช้เวลาค่อนข้างมาก ตั้งแต่การแต่งเนื้อเพลง จนถึงขั้นตอนการปรับท่วงทำนอง (ปรับเปลี่ยนเยอะมาก) เพื่อให้ได้เพลงเล่านิทานในเวอร์ชันที่ชวนฟังที่สุด ตอนที่ฟังเพลงนี้ ผมเผลอขยับตัวตามจังหวะโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อย ๆ ผมจึงหวังว่าเพลงนี้จะทำให้ผู้ฟังทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีความสุขได้ไม่ยาก ลองฟังเพลงเล่านิทาน “เจ้าบ่าวของหนูสาว” ไปด้วยกันนะครับ

เมื่อฟังเพลงนี้ไปแล้ว หากใครจำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมเรียบเรียงเนื้อเรื่องแบบย่อไว้ให้ทบทวนความทรงจำด้วยครับ

กาลครั้งหนึ่ง มีหนูสาวหน้าตาน่ารักที่สุดในโลก เมื่อถึงวัยแต่งงาน พ่อแม่ของเธออยากหาคู่ครองที่เก่งกาจที่สุดให้ลูกสาว จึงมองข้ามหนูหนุ่มผู้แสนดีที่เธอรัก แล้วออกตามหาเจ้าบ่าวที่คู่ควร

พวกเขาไปหาพระอาทิตย์ แต่พระอาทิตย์บอกว่าเมฆเก่งกว่า เพราะบดบังแสงของเขาได้ เมฆก็ชี้ไปที่สายลม เพราะลมพัดเขาให้ปลิวไปได้ สายลมเองก็ยกย่องกำแพง เพราะแม้ลมจะพัดแรงเพียงใด กำแพงก็ไม่สะเทือน

แต่เมื่อไปหากำแพง กำแพงกลับชี้ไปยังผู้ที่สามารถเจาะตัวเขาได้ นั่นคือหนูหนุ่มผู้รักหนูสาวนั่นเอง!

หนูหนุ่มเคยเจาะกำแพงเพื่อสร้างบ้านใกล้หนูสาว พ่อแม่ของเธอจึงตระหนักว่า “ผู้เก่งกาจ” ที่แท้จริง คือผู้ที่มีหัวใจมั่นคงและรักแท้

สุดท้าย หนูสาวได้แต่งงานกับคนที่เธอรัก และทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง เจ้าบ่าวของหนูสาว ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงไว้แบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

ภาพหนูสาวและหนูหนุ่มยืนมองหน้ากันอย่างน่ารัก – ภาพประกอบนิทานก่อนนอนเรื่องเจ้าบ่าวของหนูสาว
เจ้าบ่าวของหนูสาว – ภาพประกอบนิทานก่อนนอนเรื่องอบอุ่นหัวใจ
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานจากทั่วโลก, นิทานญี่ปุ่น, นิทานสอนใจ

นิทานก่อนนอนจากญี่ปุ่น เรื่อง โมโมทาโร่ เจ้าหนูลูกท้อ | นิทานสอนใจจากทั่วโลก

โมโมทาโร่ หรือที่แปลว่า “เจ้าหนูลูกท้อ” เป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นที่เล่าขานกันมานานหลายร้อยปี เป็นเรื่องราวของเด็กชายที่เกิดจากลูกท้อ และมีจิตใจกล้าหาญ ออกเดินทางไปปราบเหล่าปีศาจด้วยความมุ่งมั่น พร้อมด้วยเพื่อนสัตว์ผู้ซื่อสัตย์ เรื่องนี้ไม่เพียงสนุกและชวนติดตาม แต่ยังแฝงข้อคิดเกี่ยวกับความกล้าหาญ ความเสียสละ และพลังของมิตรภาพ เหมาะสำหรับเล่าเป็นนิทานก่อนนอนให้เด็ก ๆ หรือผู้ใหญ่ที่รักการอ่านนิทานจากทั่วโลก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีตากับยายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ณ หมู่บ้านอันห่างไกล ทุกวัน คุณตาจะขึ้นเขาไปเก็บฟืนเพื่อนำไปขาย ส่วนคุณยายจะทำหน้าที่ดูแลงานบ้านต่าง ๆ ให้บ้านเรียบร้อยและน่าอยู่ที่สุด คุณตากับคุณยายรักกันมาก ทั้งคู่ใช้ชีวิตเล็ก ๆ อย่างมีความสุขร่วมกันมาตลอดตั้งแต่แต่งงานกัน สิ่งเดียวที่คุณตากับคุณยายเฝ้ารอแต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ คือ การได้มีลูกสักคนเพื่อเป็นพยานแห่งความรัก แต่หลังจากที่เฝ้ารอมานาน ทั้งคู่ก็ได้แต่ทำใจว่าพวกตนคงไม่มีวาสนาที่จะมีลูก

อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่คุณตาขึ้นเขาไปเก็บฟืน ส่วนคุณยายไปซักผ้าริมลำธารตามปกติ จู่ ๆ คุณยายก็สังเกตเห็นลูกท้อลูกหนึ่งลอยมาตามกระแสน้ำ ลูกท้อมีขนาดใหญ่กว่าปกติและดูน่ากินมาก คุณยายจึงลุยน้ำไปเก็บลูกท้อโดยตั้งใจจะเก็บไว้กินกับคุณตาผู้เป็นที่รัก แต่เมื่อคุณยายลุยน้ำไปเก็บลูกท้อ คุณยายก็พบว่าลูกท้อลูกนั้นหนักกว่าที่คุณยายคาดไว้หลายเท่า

หลังจากเก็บลูกท้อได้แล้ว คุณยายก็หอบลูกท้อกลับบ้าน จากนั้น คุณยายก็จัดโต๊ะอาหาร แล้วรอให้คุณตาลงมาจากภูเขา

ตกบ่าย เมื่อคุณตากลับมาถึงบ้าน คุณยายก็จูงคุณตามาที่โต๊ะอาหาร แล้วชี้ชวนให้คุณตาดูลูกท้อที่เก็บได้ จากนั้น ทั้งคู่ก็ลงมือผ่าลูกท้อ

แต่ทันทีที่คุณตากับคุณยายผ่าลูกท้อจนแยกออกเป็นสองส่วน สิ่งที่คุณตากับคุณยายได้เห็นก็คือ มีเด็กทารกเพศชายคนหนึ่งนอนร้องไห้อยู่ในลูกท้อ คุณตากับคุณยายมองเด็กน้อยที่อยู่ในลูกท้อด้วยความประหลาดใจ คุณตารำพึงว่า “หรือนี่คือลูกที่สวรรค์ส่งมาให้พวกเรานะยาย” คุณยายมองคุณตาแล้วน้ำก็ไหลออกมา จากนั้น คุณยายก็พูดว่า “ต้องใช่แน่ ๆ ต้องใช่แน่ ๆ” เมื่อทั้งคู่เห็นพ้องต้องกัน ความแปลกใจจึงแปรเปลี่ยนเป็นความ ปลื้มปีติ คุณตากับคุณยายอุ้มเด็กทารกตัวน้อยออกมาจากลูกท้อ แล้วขนานนามให้ลูกชายของพวกเขาว่า “โมโมทาโร่” ซึ่งมีความหมายว่า “เด็กชายลูกท้อ” หรือ “เจ้าหนูลูกท้อ” ตามลูกท้อที่คุณยายเก็บมาได้

นับจากวันนั้น คุณตากับคุณยายก็เฝ้าดูแลโมโมทาโร่ด้วยความรัก คุณยายทำข้าวปั้นแสนอร่อยให้โมโมทาโร่กินทุกวัน โมโมทาโร่ก็ชอบกินข้าวปั้นฝีมือคุณยายมาก เมื่อเวลาผ่านไป โมโมทาโร่ค่อย ๆ เติบโตจนกลายเป็นเด็กที่มีจิตใจดีงาม มีร่างกายแข็งแรง และที่สำคัญ เขามีพละกำลังมหาศาลมากกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งเท่ากับว่า โมโมทาโร่คือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน

อยู่มาวันหนึ่ง โมโมทาโร่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับปีศาจแห่งเกาะโอนิงาชิม่า ที่คอยรังควานผู้คนในหมู่บ้านจนทุกคนหวาดกลัวกันไปทั่ว โมโมทาโร่ผู้มีจิตใจดีงามและมีร่างกายแข็งแกร่ง จึงขออนุญาตคุณตาคุณยายเดินทางไปปราบปิศาจ

ในตอนแรก คุณตากับคุณยายเป็นห่วงโมโมทาโร่มาก แต่เมื่อโมโมทาโร่ขอร้องและยกเหตุผลว่า “การช่วยเหลือผู้คนที่กำลังเดือดร้อนเป็นสิ่งที่ควรกระทำมิใช่หรือ” ในที่สุด คุณตากับคุณยายจึงอนุญาต โดยคุณตากำชับให้โมโมทาโร่ระวังตัว ส่วนคุณยายได้ทำข้าวปั้นแสนอร่อยให้โมโมทาโร่นำไปกินระหว่างทางด้วย

เมื่อโมโมทาโร่ออกเดินทาง เขามุ่งหน้าไปยังเกาะโอนิงาชิม่าด้วยจิตใจที่กล้าหาญ แต่ก่อนที่โมโมทาโร่จะเดินพ้นจากหมู่บ้าน จู่ ๆ ก็มีหมาตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นแล้วถามโมโมทาโร่ว่า “ท่านกำลังจะไปไหนน่ะ แล้วท่านพอจะมีของกินติดตัวมาบ้างไหม”

โมโมทาโร่ตอบว่า “ฉันกำลังจะไปปราบปิศาจที่เกาะโอนิงาชิ ส่วนของกินก็มีข้าวปั้นแสนอร่อยที่คุณยายทำไว้ให้ เอาอย่างนี้ไหม ถ้าเธอยินดีไปปราบปิศาจกับฉัน ฉันจะแบ่งข้างปั้นแสนอร่อยให้เธอชิ้นนึง”

เจ้าหมาอยากชิมรสชาติของข้าวปั้นแสนอร่อย และมันก็คิดว่า การไปปราบปิศาจเพื่อช่วยเหลือผู้คนเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น เจ้าหมาจึงขอกินข้าวปั้นด้วย แล้วมันก็ร่วมเดินทางไปปราบปิศาจกับโมโมทาโร่

ในเวลาต่อมา โมโมทาโร่ได้พบกับไก่ฟ้าตัวหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับถามเขาว่า “ท่านกำลังจะไปไหนน่ะ แล้วท่านพอจะมีของกินติดตัวมาบ้างไหม”

โมโมทาโร่ตอบว่า “ฉันกำลังจะไปปราบปิศาจที่เกาะโอนิงาชิ ส่วนของกินก็มีข้าวปั้นแสนอร่อยที่คุณยายทำไว้ให้ เอาอย่างนี้ไหม ถ้าเธอยินดีไปปราบปิศาจกับฉัน ฉันจะแบ่งข้างปั้นแสนอร่อยให้เธอชิ้นนึง”

ไก่ฟ้าอยากชิมรสชาติของข้าวปั้นแสนอร่อย และมันก็คิดว่า การไปปราบปิศาจเพื่อช่วยเหลือผู้คนเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น ไก่ฟ้าจึงขอกินข้าวปั้นด้วย แล้วมันก็ร่วมเดินทางไปปราบปิศาจกับโมโมทาโร่และเจ้าหมา

ก่อนถึงเกาะโอนิงาชิ โมโมทาโร่ได้พบกับลิงตัวหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับถามเขาว่า “ท่านกำลังจะไปไหนน่ะ แล้วท่านพอจะมีของกินให้ติดตัวมาบ้างไหม”

โมโมทาโร่ตอบว่า “ฉันกำลังจะไปปราบปิศาจที่เกาะโอนิงาชิ ส่วนของกินก็มีข้าวปั้นแสนอร่อยที่คุณยายทำไว้ให้ เอาอย่างนี้ไหม ถ้าเธอยินดีไปปราบปิศาจกับฉัน ฉันจะแบ่งข้างปั้นแสนอร่อยให้เธอชิ้นนึง”

เจ้าลิงอยากชิมรสชาติของข้าวปั้นแสนอร่อย และมันก็คิดว่า การไปปราบปิศาจเพื่อช่วยเหลือผู้คนเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น เจ้าลิงจึงขอกินข้าวปั้นด้วย แล้วมันก็ร่วมเดินทางไปปราบปิศาจกับโมโมทาโร่ เจ้าหมาและไก่ฟ้า

เมื่อโมโมทาโร่กับเพื่อนสัตว์ทั้งสามเดินทางมาถึงเกาะโอนิงาชิม่า พวกเขาก็พบว่ามีประตูบานใหญ่ขวางทางอยู่ แต่โชคดี ที่โมโมทาโร่มีไก่ฟ้ามาด้วย ไก่ฟ้าจึงบินข้ามประตูไปเปิดกลอนจากด้านใน ซึ่งทำให้ทุกคนผ่านประตูไปได้อย่างง่ายดาย

เมื่อทุกคนเดินผ่านประตูมาแล้ว พวกเขาก็พบว่า เหล่าปิศาจกำลังจัดงานฉลองดื่มสุรายาเมาจนคอพับคออ่อน ขาดสติ และไม่มีใครสังเกตเห็นการมาถึงของพวกโมโมทาโร่เลย

เมื่อโมโมทาโร่เห็นว่าปิศาจกำลังอ่อนแอแถมไม่รู้ตัวว่ามีผู้บุกรุก โมโมทาโร่ผู้แข็งแกร่งและเพื่อนสัตว์ทั้งสามก็ตรงเข้าจู่โจมเหล่าปิศาจที่บังอาจสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน ด้วยการ….จิกด้วยจะงอย ต่อยด้วยหมัด กัดด้วยเขี้ยวคม ๆ ถล่มด้วยผลไม้ แถมด้วยท่าไม้ตาย ต่อตัวกระโดดเตะแบบควงสว่าน จนเหล่าปิศาจสิ้นฤทธิ์

เด็กน้อยที่เติบโตและมีพละกำลังมหาศาลจากการกินข้าวปั้นแสนอร่อยฝีมือคุณยาย และเหล่าเพื่อนสัตว์ใจสู้ที่พร้อมใจกันสู้ด้วยความสามัคคี ทำให้พวกเขาเอาชนะเหล่าปิศาจไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ในที่สุด โมโมทาโร่ก็เอาชนะเหล่าปิศาจได้สำเร็จ หัวหน้าของพวกปีศาจยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี เพราะมันรู้ดีว่า จริง ๆ แล้ว โมโมทาโร่ยังเหลือพละกำลังอีกมาก ที่สามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างสบาย ด้วยเหตุนี้ หัวหน้าปิศาจจึงพูดว่า

“โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด พวกเราจะไม่รังแกผู้คนอีกแล้ว และพวกเราขอมอบสมบัติทั้งหมดที่เรามีให้แก่ท่านอีกด้วย”

เมื่อเหล่าปิศาจให้สัญญาและมอบสมบัติทั้งหมดให้ โมโมทาโร่และสัตว์ทั้งสาวก็นำสมบัติเหล่านั้นเดินทางกลับไปยังหมู่บ้าน

และแล้วเรื่องราวทั้งหมดก็จบลงด้วยดี

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • จิตใจที่ดีงามและความกล้าหาญคือพลังที่แท้จริง
  • มิตรภาพและความสามัคคีเปลี่ยนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย
  • น้ำใจเล็กน้อย สร้างผลลัพธ์ยิ่งใหญ่
ภาพโมโมทาโร่ เจ้าหนูลูกท้อ เด็กชายในชุดญี่ปุ่น เดินทางไปปราบปีศาจกับสัตว์ต่าง ๆ
โมโมทาโร่ เจ้าหนูลูกท้อ เด็กผู้กล้าแห่งนิทานญี่ปุ่น
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนานาชาติ, วรรณกรรมคลาสสิก

นิทานสะใภ้งูพิษ | นิทานสอนใจสำหรับเด็กและผู้ใหญ่”

“สะใภ้งูพิษ” เป็นนิทานสอนใจที่เรียบเรียงจาก Stribor’s Forest นิทานพื้นบ้านของโครเอเชียที่เขียนโดย Ivana Brlić-Mažuranić นักเขียนหญิงผู้ทรงคุณค่าซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “แอนเดอร์เซนแห่งโครเอเชีย” ผลงานของเธอสะท้อนความงดงามของวัฒนธรรมพื้นบ้าน ความเชื่อทางศาสนา และคุณค่าทางศีลธรรมที่ลึกซึ้ง

นิทานเรื่องนี้ถูกเรียบเรียงใหม่ในบริบทไทย เพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยสามารถเข้าถึงแก่นสารของเรื่องได้ง่ายขึ้น โดยยังคงรักษาโครงเรื่องและข้อคิดดั้งเดิมไว้อย่างครบถ้วน ถ่ายทอดเรื่องราวของหญิงชราผู้เสียสละเพื่อปกป้องลูกชายจากภรรยาผู้มีจิตใจอำมหิต ซึ่งแท้จริงแล้วคือ “………………….”

นิทานนี้ไม่เพียงมอบความบันเทิง แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างวรรณกรรมยุโรปตะวันออกกับภูมิปัญญาไทย เหมาะสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ที่แสวงหาความลึกซึ้งของความรักและคุณธรรมในรูปแบบที่เหนือกาลเวลา

กาลครั้งหนึ่ง ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ มีหญิงชราคนหนึ่งอาศัยอยู่กับลูกชายซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจของเธอ ทั้งสองคนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุขในบ้านไม้เล็ก ๆ ที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม

จนกระทั่งวันหนึ่ง ความสงบสุขของครอบครัวได้ถูกทำลายลง เมื่อลูกชายของหญิงชราพาภรรยากลับมาที่บ้านของพวกเขาหลังจากการเดินทางไกล ชายหนุ่มเล่าให้หญิงชราฟังว่า ระหว่างที่เขาเดินทางไปยังเมืองใหญ่เพื่อซื้อสินค้าและหาโอกาสทางการค้า เขาได้พบสาวสวยผู้นี้ในตลาด เธอดูโดดเด่นท่ามกลางฝูงชน ผิวขาวเนียน รูปร่างบอบบางราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย ดวงตาสีดำสนิทของเธอดูลึกลับน่าค้นหา

หญิงสาวบอกชายหนุ่มว่า ตนเองเป็นลูกสาวของพ่อค้าที่ร่ำรวย แต่ต้องระหกระเหินมาเพียงลำพังหลังจากที่ครอบครัวของเธอล่มสลาย ชายหนุ่มรู้สึกสงสารและหลงรักเธอในทันที เขาใช้เวลาไม่นานนักก่อนจะตัดสินใจแต่งงานกับเธอ หลังจากนั้น ก็พากันกลับมาที่บ้าน

หญิงชราได้ยินดังนั้นก็เกิดความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในสายตาของเธอ หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้มีจิตใจที่บริสุทธิ์เหมือนรูปร่างหน้าตาที่ปรากฏ

เมื่อหญิงสาวก้าวเข้ามาในบ้าน เธอได้แสดงความเย่อหยิ่งและความไม่เคารพต่อหญิงชราผู้เป็นแม่สามี แม้ต่อหน้าสามี เธอจะทำตัวอ่อนหวาน แต่เมื่ออยู่ลับหลัง เธอกลับเผยให้เห็นถึงความหยาบกระด้างและไม่แยแสต่อผู้อื่น หญิงสาวมักพูดจาเสียดสีและใช้ถ้อยคำรุนแรงกับหญิงชราอยู่เสมอ หญิงชราอดทนต่อพฤติกรรมเช่นนี้เพราะรักลูกชายมาก แต่เธอเริ่มสังเกตเห็นบางอย่างที่แปลกประหลาดในตัวลูกสะใภ้ ทั้งแววตาอันเย็นชาที่ปรากฏให้เห็นในบางช่วงเวลา และเสียงลมหายใจที่บางครั้งฟังดูคล้ายเสียงขู่ของงูพิษ

วันหนึ่งหญิงชราแอบได้ยินบทสนทนาแปลก ๆ ระหว่างหญิงสาวกับบางสิ่งบางอย่างในป่า เธอจึงตัดสินใจแอบสะกดรอยตามหญิงสาวเข้าไปในป่า จนกระทั่งได้พบว่า หญิงสาวที่ลูกชายแต่งงานด้วยแท้จริงแล้วเป็นงูที่ถูกสาป หญิงชราจึงรีบกลับบ้านและอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากเทพแห่งป่าสตรีบอร์ เพื่อให้ท่านช่วยปกป้องลูกชายของเธอ

ระหว่างที่หญิงชราเฝ้ารอคอยให้เทพแห่งป่าเมตตาช่วยเหลือ หญิงชราต้องอดทนเฝ้ามองลูกชายหลงสะใภ้งูพิษอย่างหัวปักหัวปำ แม้หญิงชราจะเล่าความจริงเพื่อเตือนลูกชายอยู่หลายครั้ง แต่ลูกชายกลับไม่ฟัง ซ้ำยังกล่าวหาว่าหญิงชราเป็นแม่ที่ใจร้าย

หญิงชรารู้สึกเจ็บปวด แต่เธอก็พยายามอดกลั้นความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ โดยไม่เคยคิดทอดทิ้งลูกชายให้อยู่กับสะใภ้งูพิษตามลำพัง

และแล้วคืนหนึ่ง เทพแห่งป่าสตรีบอร์ก็ปรากฏตัวขึ้นในขณะที่หญิงชรากำลังร้องไห้ด้วยความระทมทุกข์ เทพแห่งป่ามีรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขามและงดงามในคราเดียวกัน เทพแห่งป่ามองหญิงชราด้วยความเมตตา เทพแห่งป่าจึงยื่นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธให้แก่หญิงชราที่อยู่ตรงหน้า

“อย่าทนอยู่ในความทุกข์เช่นนี้ต่อไปเลย ข้าจะเนรมิตให้เจ้าได้กลับไปสู่วัยเยาว์อีกครั้ง เจ้าจะได้ใช้ชีวิตใหม่ในฐานะหญิงสาวที่เต็มไปด้วยพละกำลังและความสุข เจ้าจะลืมความเศร้าทั้งหมด และได้เริ่มต้นใหม่ในโลกที่ปราศจากความทุกข์ระทม”

หญิงชรานิ่งคิดก่อนจะตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน แต่ข้ารักลูกชายของข้า ข้าจะไม่ทิ้งเขาไปแม้ต้องทนทุกข์ หากข้าละทิ้งความทุกข์นี้เสีย ข้าจะเป็นแม่ได้อย่างไร”

คำตอบนั้นทำให้เทพแห่งป่าพูดกับหญิงชราว่า “เจ้าช่างเป็นแม่ที่ยิ่งใหญ่เสียจริง ความรักของเจ้าทำให้ข้าต้องจัดการกับเรื่องนี้ให้ดีที่สุด”

ทันใดนั้น ลมที่พัดผ่านต้นไม้ในป่าก็ดังขึ้นราวกับเสียงโหยหวน เทพแห่งป่ายกมือขึ้น แล้วร่ายมนตร์เพื่อปลดเปลื้องความลวงจากร่างของหญิงสาว ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปได้เพียงครู่หนึ่ง หญิงสาวที่นอนหลับอยู่ข้างชายหนุ่มก็สะดุ้งตื่น แล้วทุรนทุรายกลายร่างเป็นงูพิษ จากนั้น งูพิษก็เลื้อยหายเข้าไปในป่าโดยไม่มีวันย้อนกลับมาอีก

ชายหนุ่มที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างต่อหน้าถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวและสำนึกผิดที่เขาไม่เคยฟังคำเตือนของแม่เลย เขาหันไปหามารดาและกอดเธอแน่น “แม่…ข้าขอโทษที่ทำให้แม่ต้องทุกข์ใจ ข้า่มองไม่เห็นความจริงจนเกือบจะสายเกินไป”

หญิงชราลูบหลังลูกชายเบา ๆ และยิ้มทั้งน้ำตา “ลูกกลับมาแล้ว แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว”

จากนั้น ชายหนุ่มและหญิงชราก็กลับไปใช้ชีวิตในบ้านหลังเล็ก ๆ ของพวกเขาอย่างมีความสุข

แม้ความสงบสุขนี้จะถูกทดสอบด้วยบทเรียนที่ยากลำบาก แต่ทั้งสองก็เรียนรู้ที่จะรักและปกป้องกันและกันมากยิ่งขึ้น

และในป่าสตรีบอร์ เสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้ยังคงดังราวกับเสียงเพลง เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสียสละและความรักอันยิ่งใหญ่ของมารดาที่ไม่มีวันสิ้นสุด

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความรักของแม่คือความรักที่ยิ่งใหญ่
  • รูปลักษณ์อาจหลอกสายตา แต่จิตใจจะเปิดเผยความจริงเสมอ

………………………

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

อึน้อยปราบยักษ์

นิทานก่อนนอนไทยพื้นบ้านเรื่อง “อึน้อยปราบยักษ์” เรื่องนี้ เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ดัดแปลงจากนิทานในความทรงจำเรื่อง “ก้อนขี้รบยักษ์” ที่ได้ฟังจากคุณยายคันธรส สมัยที่ผมทำรายการเด็กชื่อ “บ้านน้อยซอยเก้า” และค้นพบต้นฉบับนิทานไทยพื้นบ้านอีกเรื่องที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน คือเรื่อง “ปลาดุกรบยักษ์” ผมจึงนำนิทานทั้งสองเรื่องมาเรียบเรียงใหม่ โดยยึดนิทานเรื่อง “ก้อนขี้รบยักษ์” เป็นแนวทาง แต่ขัดเกลาให้เหมาะสำหรับเด็กในยุคนี้มากขึ้น หวังว่าเด็ก ๆ จะยิ้มกว้างกับนิทานเรื่องนี้นะครับ

นิทานก่อนนอนไทยพื้นบ้านเรื่อง “อึน้อยปราบยักษ์”

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียักษ์เกเรตนหนึ่ง ชอบรังแกผู้คนและสัตว์ทั้งหลาย จนใครต่อใครพากันชิงชังเจ้ายักษ์กันโดยถ้วนหน้า แต่เพราะยักษ์เกเรตัวใหญ่และมีเรี่ยวแรงมากกว่าใคร ๆ ผู้คนและสัตว์น้อยใหญ่จึงพากันกลัว ไม่กล้าทำอะไรกับเจ้ายักษ์เกเรตนนี้

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้ายักษ์เกเรประกาศว่าจะมาจับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านไปเป็นคนรับใช้ แต่เนื่องจากยักษ์ตัวใหญ่มาก มันจึงต้องการจับเด็กหลายคนไปใช้งาน (เด็กที่ฟังนิทานอยู่ตอนนี้ คนไหนที่อยากเป็นคนรับใช้ของยักษ์ ให้ยกมือขึ้น แต่ถ้าใครไม่อยาก ให้แตะตัวหรือกอดคนเล่านิทานเอาไว้ดี ๆ นะจ๊ะ)

เมื่อคุณยายผู้แสนใจดี ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านได้ทราบข่าว คุณยายจึงกังวลว่าหลานจะถูกจับไปเป็นคนรับใช้ของยักษ์ ด้วยเหตุนี้ คุณยายจึงไปที่หน้าหิ้งพระ แล้วสวดมนต์ขอพรให้พระคุ้มครอง แต่เนื่องจากคุณยายไม่รู้หนังสือและไม่รู้จักบทสวดมนต์ คุณยายจึงท่องบทสวดตามนิทานที่เคยฟังว่า

“นะ…..โม…..ตัส….สะ….หนู…มา…ทำ….ไม…น่ะ

ทุติ ยัมปิ นะ….โม…..ตัส…..สะ…. มา….อีก…..แล้ว……น่ะ

ตติ ยัมปิ นะ…..โม…..ตัส……สะ…. นั่นแน่….ยัง…..มา…..อีก…..น่ะ

ไป ๆ อย่าหาทำ อย่าก่อกรรม จำขึ้นใจ สาธุ สาธุ สาธุ”

เด็ก ๆ ที่ฟังนิทานเรื่องนี้อยู่ อาจหัวเราะการสวดมนต์ของคุณยายว่าคงไม่ได้ผล แต่ในโลกของนิทาน อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะในขณะที่คุณยายสวดมนต์ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล มีอึน้อยกองหนึ่งบังเอิญสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่พอดี อึน้อยไม่อยากให้คุณยายเป็นกังวล ในขณะเดียวกัน อึน้อยก็เคยได้ยินเกี่ยวกับความเกเรของเจ้ายักษ์มานานแล้ว อึน้อยไม่กลัวที่จะถูกยักษ์ทำร้าย (เพราะอึไม่มีชีวิต ทำอะไรอึ อึก็ไม่เจ็บ แถมยังเปลี่ยนสภาพให้แข็ง ให้เหลว ให้เละ ให้เฟะ ให้กระจายปู้ดป้าดได้หมด) อึน้อยจึงตัดสินใจออกเดินทางไปสู้กับเจ้ายักษ์

แม้อึน้อยจะมีความกล้าอย่างบ้าบิ่นที่จะไปประกาศสู้รบกับเจ้ายักษ์เกเร แต่ลำพังอึน้อยเพียงกองเดียว คงไม่สามารถที่จะจัดการกับเจ้ายักษ์ได้

แต่โชคยังดี เพราะในขณะที่อึน้อยออกเดินทางไปยังบ้านของเจ้ายักษ์ มีปลาดุกตัวหนึ่งมองเห็นอึน้อยเข้า ปลาดุกจึงถามว่าอึน้อยจะไปไหน อึน้อยตอบว่า “ฉันจะไปปราบยักษ์” ปลาดุกมีความแค้นเคืองเจ้ายักษ์อยู่แล้ว มันจึงขอติดตามอึน้อยไปด้วย

ต่อมา มีตะขาบตัวหนึ่งมองเห็นอึน้อยกับปลาดุกกำลังเดินทาง ตะขาบจึงถามถามว่าอึน้อยจะไปไหน อึน้อยตอบว่า “ฉันจะไปปราบยักษ์” ตะขาบมีความแค้นเคืองเจ้ายักษ์อยู่แล้ว มันจึงขอติดตามอึน้อยไปด้วย

ต่อมา มีแมงป่องตัวหนึ่งมองเห็นอึน้อย ปลาดุกและตะขาบกำลังเดินทาง แมงป่องจึงถามถามว่าอึน้อยจะไปไหน อึน้อยตอบว่า “ฉันจะไปปราบยักษ์” แมงป่องมีความแค้นเคืองเจ้ายักษ์อยู่แล้ว มันจึงขอติดตามอึน้อยไปด้วย

ต่อมา มีนกแสกตัวหนึ่งมองเห็นอึน้อย ปลาดุก ตะขาบและแมงป่องกำลังเดินทาง นกแสกจึงถามว่าอึน้อยจะไปไหน อึน้อยตอบว่า “ฉันจะไปปราบยักษ์” นกแสกมีความแค้นเคืองเจ้ายักษ์อยู่แล้ว มันจึงขอติดตามอึน้อยไปด้วย

เมื่ออึน้อย ปลาดุก ตะขาบ แมงป่อง และนกแสก เดินทางไปถึงบ้านของยักษ์เกเร ทั้งหมดก็ปรึกษาหารือกันเพื่อหาวิธีในการปราบยักษ์ เมื่อหารือกันเรียบร้อย อึน้อย ปลาดุก ตะขาบ แมงป่อง และนกแสกก็พากันแยกย้ายเข้าประจำที่

ตกดึกคืนนั้น หลังจากที่เจ้ายักษ์เกเรดับไฟและเตรียมตัวเข้านอน ทันทีที่หัวของมันถึงหมอน แผนปราบยักษ์ก็เริ่มต้นขึ้น

ตะขาบที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอนเริ่มลงมือตามแผนด้วยการกัดที่หน้าของเจ้ายักษ์ ยักษ์เกเรทั้งเจ็บทั้งตกใจเพราะไม่รู้ว่าอะไรกัดมัน ยักษ์เกเรจึงลุกขึ้นเพื่อควานหาไม้ขีดมาจุดเทียน แต่อนิจจา…เมื่อยักษ์เกเรเอื้อมมือไปหยิบไม้ขีด แมงป่องที่ซ่อนตัวอยู่ตรงใกล้ ๆ กับไม้ขีดก็ต่อยเข้าที่มือของเจ้ายักษ์อย่างเต็มแรง เจ้ายักษ์ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด มันจินตนาการว่าบุคคลที่มาทำร้ายมันต้องเป็นตัวอะไรสักอย่างที่มีขนาดใหญ่และมีฤทธิ์มากแน่ ๆ เจ้ายักษ์เพิ่งเคยเจอคนที่แข็งแรงกว่ามัน เกเรกว่ามัน และกล้าจู่โจมมัน มันกลัวจนถึงกับต้องรีบลุกออกจากเตียงทั้ง ๆ ที่รอบตัวยังมืดตึ๊ดตื๋อ แต่เจ้ายักษ์เกเรโชคร้ายเหลือเกิน เพราะหลังจากที่เจ้ายักษ์เดินไปได้ไม่กี่ก้าว มันก็เหยียบอึน้อยในสภาพอึเปียก ๆ เหลว ๆ ทำให้เจ้ายักษ์ลื่นล้มจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยอึเหม็น ๆ เจ้ายักษ์ขยะแขยงอะไรไม่รู้ที่เปรอะอยู่เต็มตัว มันพยายามหาน้ำมาล้าง จึงเอามือควานหาโอ่งเพื่อวักน้ำขึ้นล้างตัว แต่ทันทีที่มันควานพบโอ่งน้ำและจุ่มมือลงไป ปลาดุกก็ยักมือของยักษ์จนยักษ์ร้องจ้ากด้วยความเจ็บปวด ยักษ์เกเรเห็นที่ว่าคงแย่แน่ ๆ มันจึงรีบลุกขึ้นเพื่อหนีลงจากบ้าน แต่ในขณะที่มันยังคลำทางในความมืด นกแสกผู้มีตาดีในตอนกลางคืน ก็พุ่งตัวเข้าจิกเจ้ายักษ์เกเรอย่างไม่คิดชีวิต

ยักษ์เกเรถูกโจมตีจนสะบักสะบอมไปหมด ในจินตนาการของมัน ผู้ที่ทำร้ายมันอยู่ต้องเป็นตัวอะไรที่ร้ายกาจและเกเรมาก ๆ เป็นแน่ เจ้ายักษ์เกเรกลัวจนทำอะไรไม่ถูก มันทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับใช้มือกุมศีรษะแล้วร้องขอชีวิต ที่สำคัญ ยักษ์เกเรเพิ่งได้สำนึกว่า การทำร้ายหรือรังแกผู้อื่นเป็นเรื่องที่ร้ายกาจเพียงใด ด้วยเหตุนี้ นอกจากที่เจ้ายักษ์เกเรจะร้องขอชีวิตแล้ว มันยังพูดออกมาอีกว่า “เราควรอยู่ในโลกนี้ร่วมกันอย่างสันติเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ข้าก็จะไม่เบียดเบียนหรือรังแกใครอีกแล้ว โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด”

เมื่อยักษ์เกเรพูดออกมาเช่นนั้น อึน้อย ปลาดุก ตะขาบ แมงป่อง และนกแสกก็เห็นว่าเจ้ายักษ์ได้บทเรียนอันสมควรแล้ว ดังนั้น ทั้งหมดจึงถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจในการปราบยักษ์ และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา เจ้ายักษ์เกเรก็ไม่เคยรังแกใคร ๆ อีกเลย

#นิทานนำบุญ