Posted in การศึกษา, ครอบครัว, ปฐมวัย, เด็ก, Uncategorized

รูปแบบการจัดการเรียนการสอนปฐมวัยในช่วงโควิด-19

เมื่อโลกเผชิญกับโรคระบาดโควิด-19  คนที่ “ยอมรับความจริง” ว่าโลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  และเริ่ม “ปรับตัว” ได้ก่อน  น่าจะมีชีวิตที่ดีและปลอดภัยกว่า  ซึ่งรวมถึงเรื่องการปรับตัวเกี่ยวกับการเรียนของลูกด้วย

รูปแบบการจัดการเรียนการสอนปฐมวัยสำหรับเด็กในช่วงที่มีโรคระบาดรุนแรงนั้น
พ่อแม่จำเป็นต้องเข้ามามีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ให้ลูก แทนการเสี่ยงส่งลูกไปโรงเรียน  อย่างไรก็ตาม โรงเรียนและครูก็ยังมีความสำคัญ ในการจัดแผนการสอนตามหลักสูตรและการสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์มายังพ่อแม่
สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้เกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนปฐมวัย คือ  การจัดการเรียนรู้ให้เด็กเล็ก มีหลักการง่าย ๆ 2 ส่วน ได้แก่

แนวทางการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย

1) ผู้ใหญ่เป็นคนจัดเตรียมกิจกรรมให้เด็กได้ทำ เพื่อส่งเสริม “พัฒนาการ และ การเรียนรู้” ให้เหมาะตามช่วงวัยของเด็ก  (ในส่วนนี้ควรมีแผนและเป้าหมายในการทำที่ชัดเจน ซึ่งครูจะทราบเรื่องนี้ดี)

2) การเรียนรู้เกิดขึ้นได้เมื่อ เด็กเลือกทำสิ่งที่สนใจอย่างอิสระ คือเด็กสนใจอะไร ก็จะเข้าไปลองทำ และเกิดการเรียนรู้จากการลงมือทำจริง (การจัดสิ่งแวดล้อมในสถานที่เรียนรู้ จึงมีความสำคัญ)

เมื่อเด็กมีการเรียนรู้จากการที่ผู้ใหญ่จัดกิจกรรมให้ และการเลือกทำอะไร ๆ ตามที่สนใจแล้ว  สิ่งที่พ่อแม่และครูต้องทำต่อไป คือการสังเกตพฤติกรรมและประเมินว่า “เด็กมีพัฒนาการและการเรียนรู้” เหมาะสมตามช่วงวัยหรือไม่  ถ้ายังขาดอะไร ก็จัดกิจกรรมเสริม เพื่อพัฒนาเด็กให้ได้ตามเกณฑ์ที่ควรจะเป็น  

สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรรู้อีกอย่างคือ เด็กเล็ก ๆ ไม่ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ แบบผู้ใหญ่  กล่าวคือ ถ้าพูดให้ฟัง สอนให้จำ เด็กจะไม่เกิดการเรียนรู้   เพราะเด็กเล็ก จะเรียนรู้ได้จากการเล่น การลงมือทำจริง ทำผิดก็คือการเรียนรู้  และต้องมีการเน้นย้ำซ้ำทวน คือ ทำกิจกรรมเดิม ๆ ซ้ำ ๆ  ซึ่งจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นในที่สุด
นอกจากนี้ การเรียนรู้ของเด็กจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป  ห้ามอัดข้อมูลให้จำ เพราะไม่มีประโยชน์   การฟังนิทาน  การเคลื่อนไหวตามดนตรี  การเล่น  การสวมบทบาทสมมติเป็นนู่นเป็นนี่  สิ่งเหล่านี้เป็นกลวิธีในการกล่อมเกลาให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น  (ซึ่งทั้งหมด คุณครูที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจะช่วยแนะนำพ่อแม่ได้)

ดังนั้น ในยุคโควิด ครูอาจทำหน้าที่เป็นผู้วางแผนการสอน ว่าในแต่ละสัปดาห์ ผู้ใหญ่ควรชวนเด็ก ๆ ทำอะไรบ้าง  (พ่อแม่จึงสามารถจัดกิจกรรมให้ลูกได้โดยไม่เคว้งคว้าง ไร้ทิศทาง)  โดยครูต้องสื่อสารกับพ่อแม่ ให้พ่อแม่รับแนวทางนั้นไปทำ (ผ่านทางออนไลน์)

 

ในขณะเดียวกัน ครูอาจช่วยเตรียมอุปกรณ์เป็นชุด ๆ ส่งเป็นสื่อการเรียนรู้ไปให้พ่อแม่ (ด้วยม้าเร็วทั้งหลาย) เพื่อลดภาระของพ่อแม่ และอาจช่วยประเมินพัฒนาการเด็กผ่านการสังเกตออนไลน์

นอกจากนี้ ถ้าครูทำไหว  ครูอาจต้องคัดเลือกคลิปวิดีโอจากยูทูบหรือแหล่งต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับแผนการสอน เพื่อให้พ่อแม่ใช้เป็นสื่อให้ลูก ๆ ได้ดู (ถ้าไม่ถนัด อาจหาผู้เชี่ยวชาญมาทำงานในส่วนนี้)

คุณครูอาจต้องทำคลิปออกกำลังกาย คลิปเล่านิทาน คลิปรีแคปวิดีโอยูทูบที่แนะนำไป เพื่อให้พ่อแม่ใช้เปิดให้ลูกดู เพื่อใช้เป็นสื่อเสริม เติมเต็มช่วงเวลา และเชื่อมความ “มีอยู่” ของครู ซึ่งทั้งหมดจะทำให้การไปเจอครูหลังโรคระบาดจบไป เป็นเรื่องง่ายขึ้น และช่วยสนับสนุนการทำงานของพ่อแม่

จริง ๆ แล้ว  การเรียนรู้ในห้องเรียนของเด็กอนุบาลในแต่ละวันมีกิจกรรมไม่มาก  บางช่วงเป็นการเลือกเข้ามุมที่สนใจอย่างอิสระ ดังนั้น ถ้าบ้านมีมุมให้เด็กเลือกเล่น  พ่อแม่ก็จะพอมีเวลาทำงานส่วนตัวไปด้วย แถมช่วงบ่าย เด็ก ๆ ยังต้องนอนกลางวัน (พ่อแม่อาจนอนด้วย) และเมื่อตื่นก็สามารถจัดกิจกรรมเสริมทักษะทางภาษาด้วยการให้ฟังเพลงหรือดูการ์ตูนภาษาอังกฤษที่คัดสรรแล้ว (พ่อแม่จึงอาจเหนื่อยมากหน่อยเฉพาะในช่วงเช้า)

การจัดหลักสูตรเปลี่ยนบ้านเป็นโรงเรียน พ่อแม่สามารถปรับหลักสูตรได้ตามเหมาะสม เลือกช่วงเวลาเรียนได้ (ยืดหยุ่น) และหา Trainer หรืออาจารย์พิเศษตามคอร์สออนไลน์ต่าง ๆ มาช่วยเสริมได้ (เช่น อยากเสริมเรื่องภาษา ก็อาจหาคอร์สภาษาสำหรับเด็กเล็ก  อยากเสริมเรื่องทักษะการคิด หรือเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ ก็หาคอร์สที่สอนออนไลน์ด้วยสื่อที่เหมาะสม เป็นต้น)  ดังนั้น ถ้าเราวางแผนให้ดี ๆ ลูกของเราก็น่าจะยังคงได้เรียนรู้และได้รับการส่งเสริมพัฒนาการอย่างไม่ขาดตอน โดยที่พ่อแม่ไม่เหนื่อยมากจนเกินไป

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่าง คือ การนำ Project Based Learning เข้ามาเสริมในการจัดการเรียนรู้ เช่น การให้ทุกครอบครัวในชั้นเรียนเดียวกัน  ทำโครงการศึกษาอะไรสักอย่างร่วมกัน  เช่น การทำโครงงานศึกษาเรื่องไข่ไก่ วิธีจัดการเรียนรู้แบบนี้ก็จะทำให้ “ชีวิตมีสีสัน การเรียนรู้สนุกสนานไม่น่าเบื่อ” โดยการทำโครงการ ครูอาจเป็นหัวเรือใหญ่ โดยเริ่มคิดหัวข้อร่วมกันผ่านการไลฟ์สด ยกมือเลือกหัวข้อ แล้วสนับสนุนการสืบค้นในแต่ละช่วงให้ทุกครอบครัวก้าวไปพร้อม ๆ ในแนวทางเดียวกัน เป็นต้น

รูปแบบการจัดการเรียนการสอนปฐมวัยในช่วงโควิด-19

สรุปแนวทางจัดการเรียนรู้ที่บ้าน  :

ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้บ้านเป็นฐานในการเรียนการสอนเด็กเล็ก โรงเรียน ครูประจำชั้น พ่อแม่ ต้องทำงานร่วมกัน โดยมีบทบาทหน้าที่ ดังนี้
1.โรงเรียนและครูประจำชั้นยังคงเป็นผู้สนับสนุนการจัดการเรียนรู้ (เพราะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กมากที่สุด)

 

2. ครูประจำชั้น มีหน้าที่สนับสนุนพ่อแม่และเด็ก ดังนี้


2.1)  วางแผนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงโดยปรับแผนให้เหมาะสำหรับการสอนที่บ้าน (ต้องคำนึงว่า พ่อแม่เป็นผู้ดูแลลูก + ลูกมีจำนวน 1 คน ไม่ใช่เด็กทั้งห้อง + ระยะเวลาของกิจกรรมไม่เหมือนในห้องเรียน)

 

2.2) ส่งแผนการสอนประจำสัปดาห์และแนะนำวิธีทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กให้พ่อแม่ทุกวันศุกร์ (เพื่อให้พ่อแม่มีเวลาศึกษาข้อมูลและสอบถาม ในวันเสาร์อาทิตย์)

2.3 ครูประจำชั้นอาจมีการไลฟ์สดหรือทำคลิปทักทายเด็ก ชวนเด็กออกกำลังกาย สวดมนต์ ทุกเช้า เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับเด็กและลดภาระงานของพ่อแม่

2.4) ครูประจำชั้นเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ผ่านโครงงานโดยมีทุกครอบครัวทำโครงงานเดียวกัน และนำความคืบหน้ามาแชร์กัน (อาจจัดประชุมออนไลน์พูดคุยดูความคืบหน้าร่วมกันในแต่ละครอบครัว)

2.5 ครูประจำชั้นต้องส่งรายการอุปกรณ์ที่ต้องใช้ประจำสัปดาห์หรือส่งอุปกรณ์จริงที่ต้องใช้เป็นสื่อการสอนให้พ่อแม่

2.6 ครูประจำชั้นต้องใช้ความเชี่ยวชาญช่วยพ่อแม่ในการประเมินพัฒนาการเด็กและหาวิธีส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการและการเรียนรู้ที่เหมาะสม


3. พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูของเด็ก มีหน้าที่จัดการเรียนรู้ให้เด็ก ดังนี้

3.1) จัดพื้นที่เฉพาะ จุดใดจุดหนึ่งในบ้านเป็นพื้นที่ในการเรียนรู้ (เป็นห้องเรียนสมมติ) เช่น พื้นที่นี้อาจเป็นที่นอนตอนกลางคืน แต่เมื่อถึงเวลาเรียน แค่เรานำโต๊ะพับมาวาง พื้นที่ตรงนี้ก็จะสมมติว่ากลายเป็นห้องเรียน (เป็นการทำให้เด็กรู้บทบาทหน้าที่ว่าตอนนี้เป็นเป็นเวลาเรียน) โดยพ่อแม่จะใช้พื้นที่นี้เป็นจุดในการจัดการเรียนรู้ตามหน่วยสาระ (ที่ครูจัดแผนการสอนมา)

 

3.2) จัดมุมเล่นอิสระ เพื่อให้เด็กเข้าไปเลือกเล่นในมุมที่ตนเองสนใจในช่วงที่พ่อแม่ปล่อยให้เรียนรู้เองผ่านการเล่น  ซึ่งตัวอย่างของมุมที่จัดให้เด็กเล่น ได้แก่ มุมบล็อกไม้  มุมบ้าน (เพื่อเล่นบทบาทสมมติว่าอยู่ในบ้านน้อยของตัวเอง)  มุมหนังสือ  มุมวิทยาศาสตร์  มุมน้ำมุมทราย  มุมส่งเสริมภาษา  มุมดนตรี

3.3) ทำโครงงานร่วมกับครอบครัวอื่น ๆ โดยมีเด็กเป็นศูนย์กลางและมีครูเป็นตัวกลางในการประสานทุกครอบครัวเข้าด้วยกัน

3.4) การจัดประสบการณ์เพิ่มทักษะชีวิตและความเข้าใจโลกจากประสบการณ์จริง ซึ่งสามารถจัดประสบการณ์ให้เด็กได้หลายวิธี เช่น ให้ช่วยคุณแม่ทำอาหาร ทำงานบ้าน หรือ พาเด็กออกไปนอกบ้าน (อย่างปลอดภัย)

3.5) การเลือกคอร์สออนไลน์และอาจารย์พิเศษที่เหมาะสมให้ลูก เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ในเรื่องที่ลูกขาด

3.6) คัดสรรคลิปวิดีโอ ซึ่งอาจเป็นสารคดี บันเทิงคดี หรือการ์ตูน เพื่อใช้ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของลูก

3.7) พ่อแม่ต้องสังเกตพฤติกรรมในการทำกิจกรรมและความสนใจของลูกแล้วรายงานครู เพื่อประเมินพัฒนาการของลูกร่วมกัน

หมายเหตุ 1 :
การจัดการเรียนรู้ อาจแบ่งเป็นช่วงเช้าและช่วงบ่าย โดยช่วงเช้าดำเนินการตามแผนการสอนของครูประจำชั้นและใช้มุมอิสระในการส่งเสริมการเรียนรู้ ส่วนภาคบ่ายหลังเด็กตื่นนอน อาจเป็นช่วงเวลาของการใช้สื่อเสริมออนไลน์และอาจารย์เฉพาะทาง

หมายเหตุ 2 :
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแนวคิดที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ในฐานะที่ทำงานเด็กมา 20 กว่าปี  โดยทำงานด้านสื่อสำหรับเด็กและกิจกรรมสำหรับเด็ก รวมทั้งเคยเรียนป.โทด้านการศึกษาปฐมวัย และจบป.โทด้านนิเทศศาสตร์ดิจิทัล คิดว่า น่าจะเป็นแนวทางที่สามารถนำไปปรับใช้ ในการทำรูปแบบการจัดการเรียนการสอนปฐมวัยในช่วงที่มีโรคระบาดโควิด-19 ได้ โดยที่เด็กได้ประโยชน์ ครูยังคงได้ใช้ความรู้ความสามารถในการทำงาน  พ่อแม่หรือผู้ดูแลเด็กไม่เหนื่อยจนเกินไป  และอาจมีอาชีพใหม่ ๆ ของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเกิดขึ้น  นอกจากนี้ ถ้านำโครงสร้างนี้ไปปรับให้เหมาะกับเด็กในระดับชั้นอื่น ๆ  โดยเพิ่มลดกิจกรรมที่สอดคล้องกับช่วงวัย  ก็น่าจะทำให้สามารถจัดการศึกษาที่ดีให้เด็กได้ในทุก ๆ ระดับ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.