ในสมัยเด็ก ๆ แถวบ้านของผมรายล้อมไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรมน้อยใหญ่เต็มไปหมด บ่อยครั้งที่ครอบครัวของเราต้องอดทนกับเสียงเคาะเหล็กและกลิ่นสารเคมีที่ลอยมาจากที่ไหนสักแห่งใกล้ ๆ บ้าน มลภาวะที่อยู่รอบ ๆ ตัวเป็นเรื่องที่ชวนให้อึดอัดมาก ผมไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ดังนั้น ผมจึงรวบรวมความทรงจำที่ไม่ดีเหล่านั้น มาแต่งนิทานที่มีข้อคิดเรื่องนี้ หวังว่า ผู้อ่านจะชอบนิทานเรื่องนี้นะครับ
นิทานเรื่อง ครอบครัวตัวแสบ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ผู้คนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบสุขมาโดยตลอด
วันหนึ่ง มีพ่อมดแปลกหน้าพาครอบครัวมาขอซื้อที่ดินเพื่อพำนักพักอาศัยในหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านเห็นว่าพ่อมดกับภรรยามีลูกเล็ก ๆ หลายคน ชาวบ้านจึงสงสารและยอมแบ่งขายที่ดินให้
หลังจากที่พ่อมดย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านได้ไม่นาน ครอบครัวของพ่อมดก็สร้างปัญหาจนชาวบ้านอยู่กันไม่เป็นสุข
เริ่มจากพ่อมดที่ตั้งหน้าตั้งตาต้มยาในหม้อใบใหญ่แล้วปล่อยให้ควันไฟกับกลิ่นของยาลึกลับเหม็นคลุ้งฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ส่วนภรรยาของพ่อมดก็ชอบเอาขยะไปทิ้งที่หน้าบ้านของคนอื่นหรือไม่ก็สุมซากจิ้งจก, ตุ๊กแก, งู, หนู, ค้างคาว ฯลฯ เอาไว้ที่หน้าบ้านของตัวเอง จนกองขยะหน้าบ้านของนางกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคสารพัดชนิด ฝ่ายเด็ก ๆ ลูกของพ่อมดก็เอาแต่ทะเลาะด่าทอกัน รวมทั้งส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นทั้งวันทั้งคืนทำให้ชาวบ้านเดือนร้อนกันไปทั่ว
เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ ชาวบ้านต่างพยายามอดทนต่อพฤติกรรมของครอบครัวพ่อมด จนพวกเขาทนต่อไปอีกไม่ไหว ชาวบ้านทั้งหลายจึงตัดสินใจตักเตือนครอบครัวของพ่อมดและขอร้องให้พวกเขาเลิกการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ เสีย
ครั้นเมื่อพ่อมด, ภรรยาและลูก ๆ ได้ฟังถ้อยคำของเหล่าชาวบ้าน แทนที่ครอบครัวพ่อมดจะสำนึกผิด พวกเขากลับโกรธชาวบ้านที่มาวุ่นวายกับชีวิตของพวกเขา พ่อมดบอกกับชาวบ้านว่า ในเมื่อเขาซื้อที่ดินและปลูกบ้านอย่างถูกต้อง ดังนั้น เขาจึงมีสิทธิ์ทำอะไรที่บ้านของเขาก็ได้โดยไม่ต้องสนใจใคร ๆ อีก
ชาวบ้านต่างระอาใจในความเห็นแก่ตัวของพ่อมดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อครอบครัวของพ่อมดยังคงจงใจทำเรื่องน่ารังเกียจต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่นานนัก ชาวบ้านผู้แสนดีทั้งหลายจึงจำใจประกาศขายบ้านและที่ดินของตัวเอง แล้วแยกย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ในหมู่บ้านอื่น ๆ กันจนหมด
หลังจากที่ชาวบ้านย้ายออกไปจากหมู่บ้านจนไม่เหลือแม้แต่ครอบครัวเดียว ครอบครัวพ่อมดจึงจัดงานฉลองความร้ายกาจของตนเองอย่างสนุกสนาน พ่อมดดีใจที่ชาวบ้านเรื่องมากทั้งหลายทนอยู่ในหมู่บ้านต่อไปไม่ไหว และแล้ว…ครอบครัวสุดแสบของเขาก็เหมือนกับได้เป็นเจ้าของหมู่บ้านไปโดยปริยาย
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ครอบครัวของพ่อมดเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นในหมู่บ้าน เพราะจู่ ๆ บ้านที่ชาวบ้านประกาศขายก็ถูกซื้อและรื้อถอนไปทีละหลัง แล้วโรงงานน้อยใหญ่ก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาแทนที่
เมื่อโรงงานต่าง ๆ เริ่มเดินเครื่องจักร โรงงานเหล่านั้นก็ปล่อยควันพิษสีดำปิ๊ดปี๋ออกมาจนคละคลุ้งไปหมด นอกจากนี้ เสียงเครื่องจักรทำงานยังทำให้ครอบครัวของพ่อมดรำคาญจนอยู่กันอย่างไม่เป็นสุข หนำซ้ำ…โรงงานทั้งหลายยังเอาขยะมากองสุม ๆ จนเป็นแหล่งรวมของหนู, แมลงวันและเชื้อโรคสารพัดชนิด
พ่อมดโมโหพวกเจ้าของโรงงานมาก แต่เมื่อพ่อมดไปโวยวายให้เจ้าของโรงงานหยุดสร้างความรำคาญ เจ้าของโรงงานทั้งหลายกลับตอบพ่อมดว่า ในเมื่อพวกเขาซื้อที่ดินและสร้างโรงงานอย่างถูกต้อง ดังนั้น พวกเขาจึงมีสิทธิ์ทำอะไรที่โรงงานของพวกเขาก็ได้โดยไม่ต้องสนใจใคร ๆ อีก
พ่อมดถึงกับหน้าชาเมื่อได้ฟังคำตอบเหล่านั้น เพราะคำพูดของเจ้าของโรงงานเป็นคำพูดที่เขาเคยพูดกับชาวบ้านเมื่อครั้งที่ชาวบ้านมาขอให้เขาเลิกก่อความรำคาญนั่นเอง
พ่อมดเพิ่งตระหนักว่าเวรกรรมนั้นมีจริง แถมยังตามมาสนองได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
แม้พ่อมดจะรู้สึกสำนึกผิด แต่เมื่อเขาพยายามไปขอซื้อที่ดินผืนใหม่ในหมู่บ้านอื่น ๆ เพื่อย้ายบ้านหนีจากโรงงานทั้งหลาย ชาวบ้านในหมู่บ้านต่าง ๆ กลับพากันปฏิเสธเพราะเกรงว่าครอบครัวตัวแสบของพ่อมดจะเข้าไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกเขาอีก
ในที่สุด ครอบครัวของพ่อมดจึงจำใจต้องกลับมาทนรับกรรมอยู่ในหมู่บ้านแห่งเดิมโดยพวกเขาต้องผจญกับควันพิษ, เสียงรบกวนและขยะที่เน่าเหม็นต่อไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
#นิทานนำบุญ
…………………………………
