Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

บทเรียนของลูกม้าลาย

นิทานเรื่อง บทเรียนของลูกม้าลาย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกม้าลายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่ากับพ่อแม่ของมัน ลูกม้าลายตัวนี้มีนิสัยซุกซน, ซุ่มซ่าม, เซ่อซ่า แถมยังพูดจาสื่อสารกับใคร ๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง  แม่ม้าลายจึงต้องคอยเตือนให้ลูกชายมีสมาธิและรู้จักเรียบเรียงความคิดให้ดีก่อนที่จะพูดเสมอ ๆ

อยู่มาวันหนึ่ง พ่อกับแม่ม้าลายไปเยี่ยมญาติในป่าลึก ลูกม้าลายจอมซนที่อยู่เฝ้าบ้านจึงแอบออกไปว่ายน้ำเล่นที่ลำธารซึ่งแม่ม้าลายเคยห้ามเอาไว้  ลูกม้าลายถอดชุดหนังลายขาวดำที่ใส่อยู่…เหลือแต่ตัวเปล่า ๆ  แล้วลงไปเล่นน้ำจนลืมเวลา  ครั้นเมื่อลูกม้าลายหันมามองชุดที่กองทิ้งไว้ มันก็พบว่าชุดหนังของมันได้หายไปเสียแล้ว

ถ้าพ่อกับแม่กลับมาพบว่าลูกม้าลายทำชุดหนังประจำตัวหาย พ่อกับแม่ม้าลายก็คงจับได้ว่า ลูกชายหนีไปเล่นน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต  หนำซ้ำยังซุ่มซ่ามเซ่อซ่าทำของสำคัญหายไปเสียอีก ลูกม้าลายไม่อยากถูกตีจนก้นลาย  มันจึงไปหาเทพารักษ์ซึ่งเป็นเทวดาประจำป่าเพื่อขอให้ช่วยเสกชุดหนังตัวใหม่ให้

เมื่อเทพารักษ์ได้ฟังคำขอร้อง  เทพารักษ์ผู้ใจดีซึ่งมีพลังวิเศษเสกอะไรก็ได้วันละ 3 ครั้ง จึงเอ่ยปากว่าจะช่วยอย่างเต็มที่ ลูกม้าลายดีใจมากจนลืมเรียบเรียงความคิดให้ถี่ถ้วน มันรีบเอ่ยปากขอพรครั้งแรกไปว่า “ผมขอชุดหนังชุดใหม่ด่วนเลยนะครับ”

ทันทีที่เทพารักษ์ได้ฟังคำร้องขอ  เทพารักษ์จึงเสกชุดหนังตัวใหม่สวมให้เจ้าลูกสัตว์จอมซนอย่างไม่รอช้า  อนิจจา! เทพารักษ์เข้าใจผิดคิดว่าลูกม้าลายที่เปลือยกายมา…เป็นลูกม้าธรรมดา ๆ  เทพารักษ์จึงเสกชุดหนังสีขาวให้มัน…แทนที่จะเป็นชุดลายทางสีขาวดำอย่างที่ควรจะเป็น

เมื่อลูกม้าลายเห็นชุดที่เทพารักษ์เสกให้  มันก็ได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัด แล้วพูดกับเทพารักษ์อย่างอารมณ์เสียว่า “ผมไม่ใช่ม้านะครับท่าน ตัวของผมจะต้องมีทั้งสีขาวและสีดำ  ไม่ใช่ขาวโพลนดูจืดสนิทแบบนี้ ช่วยเสกชุดใหม่ให้ผมเดี๋ยวนี้เลยนะครับ”

เมื่อลูกสัตว์ที่มาขอความช่วยเหลือบอกว่าตนเองไม่ใช่ม้า แถมเนื้อตัวยังมีทั้งสีขาวและสีดำ  เทพารักษ์จึงเพ่งมองลูกสัตว์จอมซนอีกครั้ง พลางคิดว่า “ถ้าไม่ใช่ม้าและเนื้อตัวมีทั้งสีขาวและสีดำ บางที…มันอาจจะเป็นลูกวัวก็ได้นะ” ด้วยเหตุนี้ เทพารักษ์จึงร่ายคาถาครั้งที่สอง แล้วเสกชุดหนังลายวัวให้ตามที่เข้าใจ

ลูกม้าลายโมโหจนตัวสั่นเมื่อเห็นชุดลายวัวนมสีขาวสลับดำที่เทพารักษ์เสกให้  มันพยายามระงับความโกรธพลางกัดฟันกรอดแล้วขอพรครั้งที่สามว่า “ผมไม่ใช่ม้า แล้วก็ไม่ใช่วัวนะครับ ตัวของผมมีลายสีดำ ๆ คาดอยู่ทั้งตัว อย่าเสกชุดมั่วซั่วแบบนี้สิครับ ยังไงช่วยเสกชุดหนังที่มีลายสีดำคาดอยู่ตามตัวให้ผมเดี๋ยวนี้ พ่อกับแม่ของผมคงใกล้จะมาถึงแล้วนะครับ”    

เทพารักษ์แปลกใจมากที่ลูกสัตว์จอมซนตรงหน้าบอกว่ามันไม่ใช่ทั้งม้าและวัว  เทพารักษ์พยายามมองลูกสัตว์จอมซนอีกครั้ง พลางคิดถึงสัตว์ที่มีลายดำ ๆ คาดอยู่ทั้งตัว  “ถ้าไม่ใช่ม้าหรือวัว แต่มีลายสีดำคาดอยู่ทั้งตัว บางที..เจ้านี่อาจจะเป็นลูกเสือโคร่งที่หน้าตาไม่เหมือนเสือโคร่งก็ได้นะ” เมื่อคิดดังนั้น เทพารักษ์จึงเสกชุดใหม่เป็นชุดหนังลายเสือโคร่งให้ตามที่เข้าใจ

ลูกม้าลายตกใจมากที่เห็นเนื้อตัวของตนมีลายสีดำคาดบนขนสีเหลืองเหมือนเสือโคร่ง มันโกรธจนปากสั่น  พลันพูดกับเทพารักษ์ว่า “นี่ท่านไม่รู้จักม้าลายหรือยังไงครับ  ผมเป็นม้าลาย ไม่ใช่ม้า, วัวนมหรือเสือโคร่ง  แค่เสกชุดหนังสีขาวลายดำให้ผม…มันยากตรงไหนนะ  ช่วยเสกชุดหนังให้ผมเดี๋ยวนี้เลยนะ”

เมื่อเทพารักษ์เห็นลูกม้าลายโมโหโทโส  เทพารักษ์ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ  จากนั้น เทพารักษ์ก็พูดกับลูกม้าลายว่า “ถ้าเจ้าบอกให้ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าเจ้าเป็นลูกม้าลายและอยากได้ชุดลายขาวดำแบบม้าลาย ข้าก็คงเสกชุดม้าลายให้เจ้าใส่ไปตั้งนานแล้ว แต่นี่เจ้าไม่บอกให้ชัดเจน แล้วใครจะไปเข้าใจสิ่งที่เจ้าต้องการได้ล่ะ วันนี้…ข้าใช้พลังไปครบ 3 ครั้งแล้ว ถ้าเจ้ายังอยากให้ข้าช่วย เจ้าก็จงกลับมาหาข้าอีกครั้งในวันพรุ่งนี้และรักษามารยาทให้ดีกว่านี้ด้วยนะ” 

ลูกม้าลายจอมซนเพิ่งได้สติว่า ตัวมันเองต่างหากที่เป็นคนผิด  เพราะมันวิ่งตัวล่อนจ้อนมาขอความช่วยเหลือจากเทพารักษ์ ซึ่งเทพารักษ์ไม่มีทางรู้เลยว่ามันคือม้า, ลาหรือม้าลายกันแน่  หนำซ้ำ  มันยังไม่รู้จักเรียบเรียงความคิดให้ดีก่อนที่จะพูด  ไป ๆ มา ๆ  การขอพรทั้ง 3 ครั้งของมันจึงกลายเป็นเรื่องไร้ค่าไร้ประโยชน์

เมื่อไม่มีทางเลือก  ลูกม้าลายจึงจำใจต้องเดินคอตกกลับไปรอให้คุณแม่ตีก้นจนลายพร้อยตามระเบียบ  ครั้นพอถึงวันรุ่งขึ้น  ลูกม้าลายก็ไปขอโทษเทพารักษ์และขอความช่วยเหลือจากเทพารักษ์อีกครั้ง โดยในครั้งนี้…มันไม่ลืมที่จะเรียบเรียงความคิดและเอ่ยปากขอสิ่งที่ต้องการอย่างมีสติและรอบคอบมากขึ้น

ในที่สุด  ลูกม้าลายก็ได้ชุดลายขาวดำมาปกคลุมร่างกายสมดังใจหวัง นอกจากนี้ มันยังได้บทเรียนเกี่ยวกับการสื่อสารความคิดที่จะติดตรึงเตือนใจมันไปอีกนานแสนนานด้วย

#นิทานนำบุญ


Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

หักเหลี่ยมพ่อค้าเร่

นิทานก่อนนอนเรื่อง “หักเหลี่ยมพ่อค้าเร่” เป็นนิทานที่มีคติสอนใจเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งในลักษณะของนิทานโบราณ โดยจินตนาการให้บรรยากาศมีลักษณะเป็นดินแดนแถบอาหรับ (หรือดินแดนในแถบนั้น) หวังว่าเรื่องราวและข้อคิดของนิทานเรื่องนี้จะถูกใจเด็ก ๆ นะครับ

นิทานเรื่อง หักเหลี่ยมพ่อค้าเร่

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีชายสูงวัยคนหนึ่งชื่อว่า “นาฮิม”  นาฮิมเป็นพ่อค้าเร่ผู้มีจิตใจดีงาม  เขามักคัดเลือกสินค้าดี ๆ แล้วนำใส่เกวียนไปขายยังหมู่บ้านต่าง ๆ โดยบวกกำไรเพิ่มเพียงแค่เล็กน้อย  ลูกค้าทั้งหลายจึงมีความสุขที่ได้ซื้อของดีสมราคาจากพ่อค้าผู้ซื่อสัตย์อย่างนาฮิม

เมื่อนาฮิมมีอายุมากขึ้น  เขาปรารถนาให้ลูกชายเป็นพ่อค้าเร่สืบต่อจากเขา  แต่เนื่องจากลูกชายของนาฮิมซึ่งมีชื่อว่านาธานไม่ชอบวิธีค้าขายแบบตรงไปตรงมาของพ่อ  นาธานจึงขอแยกไปเร่ขายสินค้าตามลำพังและขอทำการค้าด้วยวิธีที่เขาคิดว่าน่าจะทำกำไรได้มากกว่า

วิธีที่นาธานเลือกใช้คือการนำสินค้าคุณภาพดีมาจัดเรียงให้ลูกค้าเห็น พร้อมกับตั้งราคาขายที่ถูกแสนถูก  แต่เมื่อลูกค้าชำระเงิน  นาธานก็จะแอบสับเปลี่ยนเอาสินค้าปลอมใส่ห่อให้ลูกค้าแทน   ลูกค้าส่วนใหญ่มักหลงกลซื้อของไปโดยไม่ทันสังเกต  และกว่าที่พวกเขาจะรู้ตัว นาธานก็เคลื่อนเกวียนออกจากหมู่บ้านแห่งนั้นไปเสียแล้ว 

กลโกงของนาธานทำให้เขาได้กำไรมากมายมหาศาล  แม้นาฮิมจะเตือนลูกชายให้เลิกการหลอกลวงผู้คนแล้วหันมาค้าขายอย่างสุจริต  แต่นาธานกลับไม่สนใจฟัง  เพราะเขาเชื่อว่าตนเองมีพรสวรรค์ในการค้าขายที่เหนือกว่าพ่อหลายเท่าตัวนัก

หลังจากที่นาธานเที่ยวหลอกลวงชาวบ้านไปทั่วทุกสารทิศ   ผู้คนทั้งหลายจึงพากันไปร้องเรียนต่อนายอำเภอเพื่อให้นายอำเภอช่วยจัดการพ่อค้าเจ้าเล่ห์อย่างนาธานให้เข็ดหลาบ แต่ทันทีที่นายอำเภอเชิญตัวนาธานไปพบ  แทนที่นาธานจะขอโทษหรือรู้สึกสำนึกผิด  เขากลับกล่าวหาว่าชาวบ้านไม่รู้จักตรวจดูสินค้าให้ดีเสียก่อน เพราะสินค้าที่ถูกและดีไม่มีในโลก การซื้อของราคาถูก แล้วพบว่าเป็นของปลอมหรือมีตำหนิจึงเป็นเรื่องธรรมดา คนซื้อไม่รู้จักตรวจดูสินค้าให้ดีเอง  ดังนั้น ชาวบ้านจึงไม่ควรมากล่าวโทษตัวเขาดังเช่นที่เป็นอยู่!

นายอำเภอและชาวบ้านต่างเอือมระอาในความเห็นแก่ได้ของนาธานจนพูดไม่ออก เมื่อนาธานกลับไปแล้ว  นาฮิมที่แอบตามมาดูลูกชายจึงออกมาขอโทษทุก ๆ คนพร้อมกับสัญญาว่าเขาจะรีบหาวิธีดัดนิสัยลูกชายเจ้าเล่ห์ของเขาเพื่อไม่ให้ไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นอีก

หลายวันต่อมา  นาฮิมเริ่มแผนของเขาด้วยการแอบเดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งก่อนที่นาธานจะไปถึง  จากนั้น  พ่อค้าผู้ซื่อสัตย์ก็นำเงินที่ติดตัวไปด้วยแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านที่คุ้นเคยกัน แล้วขอร้องให้ชาวบ้านเหล่านั้นช่วยทำตามแผนที่เขาวางเอาไว้

เมื่อนาธานเดินทางไปถึงหมู่บ้าน  ชาวบ้านที่ได้รับเงินจากนาฮิมก็พากันมารุมซื้อสินค้าที่นาธานนำมาขาย  เพียงครู่เดียว…นาธานก็ขายสินค้าได้จนหมด  พ่อค้าเจ้าเล่ห์ดีใจมาก  เขารีบหอบเงินทั้งหมดกลับบ้าน แล้วเตรียมนับเงินที่ได้มาอย่างมีความสุข  

แต่อนิจจา…ในขณะที่นาธานนับเงินไปได้สักพัก  นาธานก็เริ่มสังเกตเห็นว่า เงินส่วนใหญ่ที่เขาได้รับมีลักษณะแตกต่างจากเงินปกติ และเมื่อเขาพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนเขาก็พบว่าเงินเหล่านั้นเป็นเงินปลอมเกือบทั้งหมด!

นาธานทั้งตกใจทั้งโมโห  เขารีบนำเรื่องไปแจ้งนายอำเภอเพื่อให้นายอำเภอจับชาวบ้านมาลงโทษ  แต่เมื่อนายอำเภอซึ่งรู้แผนการของนาฮิมได้ฟังคำร้องของนาธาน  นายอำเภอจึงบอกกับนาธานว่า การได้เงินปลอมจากการขายสินค้าปลอมก็เป็นเรื่องที่สมกันดีอยู่แล้ว  คนขายไม่รู้จักตรวจดูเงินที่ได้รับให้ดีเอง  ดังนั้น นาธานจึงไม่ควรมากล่าวโทษชาวบ้านเช่นนี้

เมื่อนาธานได้ฟังคำตัดสินของนายอำเภอ  เขาก็ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก  ครั้นเมื่อนาฮิมเห็นว่าลูกชายจนมุม  นาฮิมจึงออกมาจากที่ซ่อนแล้วสั่งสอนลูกชายให้ได้คิดว่า  “การซื้อขายสินค้านั้น  เราต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา  ลูกไม่ชอบเงินปลอมฉันท์ใด  ชาวบ้านก็ไม่ชอบสินค้าปลอมฉันท์นั้น ถ้าคนซื้อและคนขายเห็นอกเห็นใจกันและซื่อสัตย์ต่อกัน  ทุกคนก็จะมีแต่ความสุข”

หลังจากที่นาธานได้ฟังคำสอนของพ่อ  นาธานก็สำนึกผิดและเข้าใจถึงความรู้สึกของคนที่ถูกเอาเปรียบอย่างถ่องแท้  ด้วยเหตุนี้เอง  นาธานจึงสัญญากับนาฮิมและนายอำเภอว่าเขาจะปรับปรุงตัวเสียใหม่โดยไม่ใช้กลโกงใด ๆ ในการค้าขายอีก  

นาธานตั้งใจทำตามคำมั่นสัญญาที่เขาให้ไว้อย่างเต็มที่  แม้ในช่วงแรกชาวบ้านจะไม่ไว้ใจเขาสักเท่าไร  แต่หลังจากที่นาธานพยายามใช้ความจริงใจและซื่อสัตย์ในการขายสินค้าอย่างต่อเนื่อง  ในที่สุด  ทุก ๆ คนจึงให้อภัยและยอมมาซื้อของกับเขาอีกครั้ง   

นาฮิมดีใจมากที่ลูกชายกลับตัวเป็นพ่อค้าที่ดีได้สำเร็จ  ส่วนนาธานก็ดีใจที่เขามีพ่อเป็นต้นแบบที่ดีในการดำเนินชีวิต

#นิทานนำบุญ

……………………..

หมายเหตุ : ถ้ายังอ่านนิทานไม่จุใจ ลองอ่านนิทานเรื่องนี้ดูนะครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อค้าเหมือนกัน 🙂

https://bit.ly/3nttSH3

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าชายหนึ่งร้อยองค์

นิทานเรื่อง เจ้าชายหนึ่งร้อยองค์

          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีพระราชาองค์หนึ่งทรงเป็นพระราชาที่แข็งแรง ชาญฉลาด แถมยังมีจิตใจดีงามอย่างยากที่จะหาใครเทียบได้ 

          ครั้นเมื่อพระราชาทรงชราภาพ  พระองค์ซึ่งไม่มีทายาทจึงคิดแผนการคัดเลือกพระราชาองค์ใหม่เพื่อให้มาดูแลประชาชนสืบต่อจากพระองค์ 

          พระราชาทรงใคร่ครวญหาวิธีอยู่หลายวัน  ในที่สุด พระองค์ก็ตัดสินใจสั่งให้ทหารไปเชิญเจ้าชายหนึ่งร้อยองค์จากดินแดนต่าง ๆ ให้มาร่วมแข่งขันชิงตำแหน่งพระราชาในอนาคต 

          เมื่อวันแข่งขันมาถึง  เจ้าชายจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาช่วงชิงตำแหน่งอันทรงเกียรติกันอย่างเนืองแน่น  เจ้าชายบางองค์มีรูปร่างกำยำล่ำสันสมดั่งเชื้อสายชาตินักรบ  เจ้าชายบางองค์ดูสุขุมลุ่มลึกคล้ายกับนักปราชญ์ผู้รอบรู้  เจ้าชายบางองค์มีทีท่าสง่างามสมกับที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดีเยี่ยม  เจ้าชายทั้งหนึ่งร้อยองค์ต่างมีคุณลักษณะที่โดดเด่นด้วยกันทั้งนั้น  ยกเว้นก็แต่เจ้าชายคัลก้าแห่งอาณาจักรกลางป่า ซึ่งนอกจากท่าทางและการแต่งกายของพระองค์ที่ดูเถื่อน ๆ แล้ว  พระองค์ยังเป็นเจ้าชายอายุน้อยที่สุดซึ่งเพิ่งผ่านวัยเด็กมาได้ไม่นานนัก

          ในการแข่งขันรอบแรก  พระราชาทรงตั้งใจที่จะทดสอบพละกำลังและความอดทนของเจ้าชายทั้งหลาย  ด้วยเหตุนี้เอง  พระองค์จึงกำหนดให้เจ้าชายทุกองค์ทำการขนก้อนหินขนาด ใหญ่จำนวนหนึ่งร้อยก้อนจากภูเขา แล้วนำมากองรอบกำแพงเมืองให้เสร็จเรียบร้อยก่อนรุ่งสาง

          เจ้าชายที่มีรูปร่างกำยำล่ำสันสามารถแบกก้อนหินมากองจนครบตามกำหนดได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง  ส่วนเจ้าชายที่ดูสุขมคล้ายนักปราชญ์และเจ้าชายที่มีท่าทางสง่างามนั้น  เกือบทั้งหมดถอดใจและยอมแพ้ไปเพราะไม่ชินกับการใช้แรงกายทำงานต่าง ๆ   ฝ่ายเจ้าชายคัลก้าที่ถึงแม้จะตัวเล็กกว่าใครเพื่อน แต่พระองค์กลับสู้ไม่ถอย  พระองค์ค่อย ๆ ขนก้อนหินทีละก้อน ๆ  จนกระทั่งสามารถนำหินมากองได้ครบถ้วนก่อนหมดเวลาพอดี

          เมื่อการทดสอบพละกำลังและความอดทนผ่านไป  พระราชาซึ่งต้องการให้ประชาชนได้พระราชาองค์ใหม่ที่ชาญฉลาด จึงทดสอบสติปัญญาของเจ้าชายที่เหลืออยู่ด้วยการสั่งให้เจ้าชายเหล่านั้นไปเสาะหาต้นไม้ที่ออกผลเป็นน้ำนมมาถวาย!  

          เจ้าชายที่มีสติปัญญาดีเหลือผ่านเข้ารอบมาไม่มากนัก  ส่วนเจ้าชายที่ถนัดแต่การใช้กำลังก็ได้แต่ลองเดาสุ่ม โดยเก็บต้นไม้ที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับสัตว์ให้นม เช่น ต้นหน้าวัวหรือต้นนมแมว แล้วนำมาถวายให้พระราชาเผื่อว่าจะตรงกับคำตอบ

          ฝ่ายเจ้าชายคัลก้าซึ่งรู้จักพืชและสัตว์ในป่าเป็นอย่างดีนั้น  พระองค์ค่อย ๆ ใช้ความคิดอย่างถี่ถ้วน  ซึ่งเมื่อคิดได้แล้ว  พระองค์จึงตรงรี่เข้าไปในป่า แล้วทำการเก็บต้นถั่วเหลืองมาให้พระราชา เพราะถั่วเหลืองสามารถนำมาใช้ทำเป็นน้ำนมได้ 

          หลังจากการทดสอบทั้งสองครั้ง พระราชาก็ได้เจ้าชายที่ทั้งแข็งแรงและชาญฉลาดผ่านเข้ารอบมารวมห้าองค์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเจ้าชายคัลก้านั่นเอง

          ในการแข่งขันครั้งสุดท้าย…พระราชาทรงสั่งให้เจ้าชายที่ผ่านเข้ารอบทั้งหมดใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนออกทำการล่าสัตว์ ซึ่งหากใครสามารถล่าสัตว์ได้มากที่สุด พระองค์ก็จะมอบตำแหน่ง พระราชาองค์ใหม่ให้ทันที

          เมื่อเจ้าชายทั้งสี่องค์ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ฟังถ้อยคำของพระราชา  เจ้าชายทั้งสี่ก็สั่งให้ทหารคนสนิทจัดอาวุธและม้าคู่ใจเพื่อเตรียมเข้าป่าล่าสัตว์อย่างไม่รอช้า 

          แต่ในขณะเดียวกัน  เจ้าชายคัลก้ากลับทำในสิ่งที่ทุก ๆ คนไม่คาดคิด  พระองค์ทรงคุกเข่าลงต่อหน้าพระราชาผู้ชราภาพ  จากนั้น  พระองค์ก็ขอร้องให้พระราชาเปลี่ยนกติกาการแข่งขันเสียใหม่  เพราะพระองค์เห็นว่าการฆ่าสัตว์เพื่อใช้วัดว่าใครควรจะได้เป็นพระราชา…เป็นสิ่งที่โหดร้ายไร้เหตุผล

          พระราชาทรงยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้ฟังคำขอร้องของเจ้าชายคัลก้า   จริง ๆ แล้ว…ภารกิจสุดท้ายที่พระองค์กำหนดขึ้นเป็นแผนการที่พระองค์วางไว้เพื่อใช้เฟ้นหาเจ้าชายที่นอกจากจะแข็งแรงและชาญฉลาดแล้ว ยังจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจดีงามอีกด้วย

          เมื่อเจ้าชายอีกสี่องค์เตรียมตัวที่จะออกไปล่าสัตว์  นั่นก็หมายความว่าเจ้าชายเหล่านั้นคิดถึงแต่ประโยชน์ของตนเองโดยไม่สนใจชีวิตของผู้อื่น

          และแล้ว…พระราชาผู้ชราภาพก็ทรงค้นพบเจ้าชายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเป็นผู้ดูแลประชาชนที่พระองค์รัก   

          ในที่สุด…เจ้าชายคัลก้าก็ได้รับมอบตำแหน่งให้เป็นพระราชาองค์ใหม่ของอาณาจักรแห่งนั้น

#นิทานนำบุญ

…………………

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ครอบครัวมด ๆ

นิทานก่อนนอนเรื่อง “ครอบครัวมด ๆ” เป็นนิทานก่อนนอนอีกเรื่องหนึ่งที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งเอาไว้นานจนลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว ตอนที่ดูชื่อนิทานในฮาร์ดดิส ผมนึกว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับมดตัวเล็ก ๆ (คิดแบบนี้จริง ๆ ) แต่พอเปิดไฟล์มาอ่าน จึงได้รู้ว่าเป็นนิทานก่อนนอนแนวพ่อมดแม่มด แถมเนื้อเรื่องมีฉากต่อสู้และการใช้เวทมนตร์ แต่ไม่ใช่นิทานแนวต่อสู้หรือแนวเวทมนตร์ที่เห็นอยู่ทั่วไปในนิทานก่อนนอนแนวพ่อมดแม่มดแบบเรื่องอื่น ๆ นิทานเรื่อง “ครอบครัวมด ๆ” เป็นนิทานแนวพ่อมดแม่มดที่ไม่เหมือนใครแน่ ๆ แต่ถ้าอยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ต้องอ่านนิทานเรื่องนี้ดูนะครับ

นิทานเรื่อง ครอบครัวมด ๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อมด, แม่มดและลูกมดอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ณ ป่าลึกลับ  

ทุกวัน พ่อมดกับแม่มดมักมีเรื่องโต้เถียงกันจนลูกมดสงสัยว่า บางที…พ่อกับแม่อาจไม่รักกันแล้ว!

วันหนึ่ง ในขณะที่พ่อมดกับแม่มดทะเลาะกันเรื่องแม่มดกลัวตุ๊กแกและพ่อมดกลัวความสูง ลูกมดจึงเดินเลี่ยงออกไปหน้าบ้าน เพราะเขาไม่อยากเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างที่เป็นอยู่

ในเวลานั้นเอง  มีอีกาตัวหนึ่งบินเอาของขวัญจากคุณยายมดมาส่งให้พอดี  ที่ห่อของขวัญมีข้อความเขียนไว้ว่า “สวัสดีจ้ะทุก ๆ คน  ยายส่งกระจกวิเศษมาให้ กระจกบานนี้ใช้ขอพรได้ 3 ข้อ ท่องคาถาแล้วขอพรที่อยากได้คนละข้อนะจ๊ะ ขอให้มีความสุขมาก ๆ จ้ะ”  

ลูกมดดีใจที่ได้ของขวัญจากคุณยายมด แม้ลูกมดจะขอพรได้แค่ข้อเดียว แต่เขาก็รู้แน่ชัดว่าตัวเขาอยากได้อะไรมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ ลูกมดจึงเปิดประตูเข้าบ้าน แกะห่อของขวัญ แล้วนั่งลงท่องคาถาเบา ๆ ทันที   “โอม…เดอะสตาร์อะคาเดมี่ ไมค์ปลดหนี้เดอะว๊อยซ์ ลูกมดตัวน้อยขอให้พ่อกับแม่รักกัน…เพี้ยง”

เมื่อสิ้นคำอธิษฐาน มังกรร้ายตัวหนึ่งก็บินมาที่หน้าประตูบ้าน แล้วใช้ลิ้นตวัดจับลูกมดพร้อมกับบินหนีไปอย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น

พ่อมดกับแม่มดตกใจมาก ทั้งคู่หยุดทะเลาะกัน แล้วรีบขี่ไม้กวาดตามเจ้ามังกรร้ายไป โดยแม่มดเป็นคนขี่ ส่วนพ่อมดหลับตาปี๋นั่งซ้อนท้ายเพราะกลัวความสูง

ครั้นเมื่อพ่อมดกับแม่มดไล่ตามไปถึงเกาะมังกร บนเกาะแห่งนี้มีสัตว์เลื้อยคลานอยู่เต็มไปหมด เมื่อแม่มดเห็นสัตว์ที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวแบบตุ๊กแก แม่มดก็ขาสั่นจนทำอะไรไม่ถูก  พ่อมดจึงอาสาเข้าไปช่วยลูกมดตามลำพัง แล้วให้แม่มดขี่ไม้กวาดไปหลบในที่ปลอดภัยเสียก่อน

พ่อมดทำใจกล้าบุกเดี่ยวไปเผชิญหน้ากับมังกรร้ายทั้ง ๆ ที่ไม่มีอาวุธติดตัวมาด้วยเลย เมื่อลูกมดเห็นพ่อมด ลูกมดจึงชูกระจกในมือแล้วตะโกนบอกพ่อมดว่า “คุณยายมดส่งกระจกวิเศษมาให้ครับพ่อ พวกเราขอพรได้คนละ 1 ข้อ ถ้าพ่ออยากได้อะไรก็อธิษฐานขอพรได้เลยนะครับ”  

ทันทีที่พ่อมดรู้เรื่องกระจกวิเศษ พ่อมดจึงท่องคาถาเพื่อขอพรทันที   “โอม…เดอะสตาร์อะคาเดมี่ ไมค์ปลดหนี้เดอะว๊อยซ์ พ่อของลูกมดตัวน้อย ขอดาบปราบมังกรด้วยเถิด…เพี้ยง”

เมื่อสิ้นคำอธิษฐาน ดาบขนาดใหญ่ยักษ์ก็มาอยู่ในมือของพ่อมดด้วยอำนาจเวทมนตร์ แต่อนิจจา..ก่อนที่พ่อมดจะใช้ดาบฟันโดนตัวมังกรเพียงเสี้ยววินาทีเดียว เจ้ามังกรก็พ่นพิษมาถูกตัวของพ่อมดเสียก่อน ด้วยเหตุนี้ ในขณะที่ร่างของมังกรกำลังสลายกลายเป็นฝุ่นด้วยคมดาบ พ่อมดเองก็ถูกพิษจนต้องทรุดลงนอนราบกับพื้นพร้อมกับลมหายใจที่ค่อย ๆ แผ่วลงเรื่อย ๆ

เมื่อแม่มดเห็นดังนั้น แม่มดก็รีบกระโดดลงจากไม้กวาดแล้ววิ่งเข้ามาหาพ่อมดโดยไม่สนใจสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลายเลยแม้สักนิด แม่มดประคองพ่อมดไว้ในวงแขนพร้อมกับร้องเรียกพ่อมดไม่ยอมหยุด  ลมหายใจของพ่อมดค่อย ๆ แผ่วลง ๆ ส่วนร่างของพ่อมดก็ค่อย ๆ เย็นลงจนน่าใจหาย โชคดีที่แม่มดจำเรื่องที่ลูกมดตะโกนบอกพ่อมดได้ นางจึงอธิษฐานขอพรจากกระจกวิเศษบ้าง  “โอม เดอะสตาร์อะคาเดมี่ ไมค์ปลดหนี้เดอะว๊อยซ์ แม่ของลูกมดตัวน้อย ขอยาถอนพิษเพื่อรักษาชีวิตสามีสุดที่รักด้วยเถิด…เพี้ยง”

เมื่อสิ้นคำอธิษฐาน สมุนไพรถอนพิษก็มาอยู่ในมือของแม่มด แม่มดรีบเด็ดใบของสมุนไพรแล้วยัดใส่ปากพ่อมด ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน พ่อมดก็รอดชีวิตมาได้อย่างฉิวเฉียด 

ลูกมดเพิ่งเข้าใจอย่างแจ่มชัดว่า การทะเลาะกันทุกวันของพ่อมดที่กลัวความสูงกับแม่มดที่กลัวตุ๊กแก ไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่จะไม่รักกัน  เพราะสิ่งที่เห็นด้วยตาอาจไม่ตรงกับความจริงที่สัมผัสได้ด้วยหัวใจ

ลูกมดนึกขอบคุณคุณยายมดที่ส่งกระจกวิเศษมาพิสูจน์ความจริงที่เขาสงสัย  ท้ายที่สุด ลูกมดจึงวิ่งเข้าไปกอดพ่อกับแม่ด้วยความรัก  จากนั้น พ่อมด แม่มดและลูกมดก็พากันขี่ไม้กวาดกลับบ้าน โดยพ่อมดยังคงขอหลับตาซ้อนท้ายไม้กวาดเหมือนดังเดิม

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

วิชาสำคัญ

นิทานก่อนนอนเรื่อง “วิชาสำคัญ” เป็นนิทานที่มีข้อคิดดี ๆ ซึ่งผมในฐานะผู้แต่ง เชื่อว่าวิชาสำคัญในเรื่องเป็นวิชาที่สำคัญมากสำหรับทุก ๆ คน นิทานก่อนนอนเรื่อง “วิชาสำคัญ” เป็นนิทานที่มีโครงเรื่องไม่ซับซ้อน ระหว่างที่อ่าน ผู้แต่งอยากให้เด็กๆ เดาไปด้วยว่า วิชาสำคัญในเรื่องน่าจะเป็นวิชาอะไร สุดท้ายนี้ ขอให้มีความสุบกับนิทานก่อนนอนเรื่องนี้นะครับ

นิทานเรื่อง วิชาสำคัญ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งทรงเป็นพระราชาที่เก่งกล้าเด็ดขาด แถมเฉลียวฉลาดและเป็นที่รักของไพร่ฟ้าประชาชน

อยู่มาวันหนึ่ง  พระราชาทรงอยากเตรียมพระโอรสให้พร้อมสำหรับการเป็นพระราชาในอนาคต พระองค์จึงประกาศรับสมัครครูมาสอนวิชาสำคัญในการเป็นพระราชาให้แก่เจ้าชายองค์น้อย

ครูคนแรกเสนอว่า วิชาสำคัญสำหรับการเป็นพระราชาคือวิชาการต่อสู้  เพราะเมื่อโตขึ้น เจ้าชายจะได้พร้อมสู้รบกับข้าศึกที่มารุกราน

ครูคนที่ 2 เสนอว่า วิชาที่สำคัญมากกว่าวิชาการต่อสู้ คือวิชาเวทมนตร์ เพราะความเชี่ยวชาญเรื่องเวทมนตร์จะทำให้เจ้าชายจัดการกับข้าศึกได้โดยไม่ต้องเหนื่อย

ครูคนที่ 3เสนอว่า วิชาที่สำคัญกว่าวิชาเวทมนตร์ คือวิชาภาษานานาชาติ เพราะการที่เจ้าชายเชี่ยวชาญเรื่องภาษา จะทำให้เจ้าชายเจรจาหาพวกมาช่วยสู้รบได้ หรือเจรจาเพื่อขอสงบศึกก็ได้  นอกจากนี้  การพูดได้หลายภาษายังใช้เจรจาค้าขาย ซึ่งจะทำให้ประชาชนร่ำรวยกันโดยถ้วนหน้า 

เมื่อครูคนแรกได้ฟังครูคนที่ 2 และครูคนที่ 3 โอ้อวดว่าวิชาเวทมนตร์กับวิชาภาษาเป็นวิชาที่สำคัญกว่าวิชาการต่อสู้  ครูคนแรกจึงโมโหถึงขั้นหยิบอาวุธเตรียมตัวจะเข้าจัดการกับคุณครูทั้งสอง

เมื่อครูผู้เชี่ยวชาญเรื่องเวทมนตร์เห็นท่าไม่ดี  เขาจึงรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับเตรียมร่ายคาถาเพื่อจัดการกับคู่ต่อสู้ 

เมื่อครูคนที่ 3 เห็นครูอีกสองคนทำท่าจะปะทะกัน เขาก็ตกใจลนลานจนร้องเสียงหลง  จากนั้น ก็เป็นลมล้มพับไปโดยไม่ได้เอ่ยปากเจรจาเลยแม้แต่คำเดียว

ทันทีที่พระราชาเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นต่อหน้า  พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นยืนพร้อมกับตวาดทุกคนให้หยุด  เสียงของพระราชาเด็ดขาดจนครูทั้งสองถึงกับเข่าทรุด  ครั้นเมื่อเหตุการณ์สงบลง  พระราชาก็ทรงรู้ในทันทีว่า  วิชาที่ครูทั้งสามคนพากันโอ้อวด ไม่ใช่วิชาสำคัญสำหรับพระราชาเลยสักนิด

ในขณะนั้นเอง  พระราชินีผู้ฝักใฝ่ในทางธรรมทรงเอื้อมมือมาแตะมือของพระราชาเบา ๆ จากนั้น  พระราชินีก็บอกกับพระราชาว่า “หม่อมฉันรู้แล้วเพคะว่า วิชาสำคัญสำหรับพระราชาที่ควรสอนให้ลูกของเรารู้เป็นลำดับแรกคือวิชาอะไร” 

พระราชาทรงแปลกใจต่อคำพูดของพระราชินี แต่พระองค์ก็เชื่อมั่นและรอฟังคำเฉลยจากพระราชินีด้วยใจจดจ่อ  เมื่อพระราชินีเห็นว่าพระราชากำลังรอฟังคำตอบอยู่  พระองค์จึงพูดต่อไปว่า “วิชาที่สำคัญที่สุดสำหรับพระราชาก็คือวิชาที่สอนให้มีสติ  เพราะเมื่อมีสติก็จะรู้ตัวว่าอะไรควรทำและอะไรไม่ควรทำ  คนเรานั้น…แม้จะมีความรู้มากมาย แต่หากไม่มีสติ ก็อาจนำความรู้ไปใช้ในทางที่ผิดได้นะเพคะ”

พระราชาทรงยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้ฟังคำอธิบายจากพระราชินีผู้เป็นที่รัก  และภาพเหตุการณ์ของเหล่าครูผู้เก่งกาจแต่ขาดสติจนถึงขั้นจะต่อยตีกันก็ยิ่งทำให้พระราชาเชื่อว่า วิชาที่สอนให้มีสติเป็นวิชาสำคัญที่ต้องสอนให้เจ้าชายเป็นลำดับแรก แต่เนื่องจากในอาณาจักรไม่มีใครเชี่ยวชาญเรื่องการเจริญสติมากไปกว่าพระราชินีเลย  ด้วยเหตุนี้  พระราชาจึงขอพระราชินีทรงเป็นครูคนแรกของลูก

แน่นอนว่าพระราชินีไม่ปฏิเสธ  แต่พระองค์มีข้อแม้เพียง 1 ข้อ นั่นคือพระราชาต้องร่วมเรียนวิชาสำคัญนี้ด้วย  พระราชาทรงยิ้มอีกครั้งพร้อมกับตอบตกลงด้วยความเต็มใจยิ่ง  ส่วนเจ้าชายองค์น้อยก็ปรบมือเสียงดังด้วยความดีใจ  เพราะการได้ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกับพ่อแม่คือช่วงเวลาที่วิเศษสุดที่เด็กทุกคนปรารถนา 

#นิทานนำบุญ

……………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

อึน้อยปราบยักษ์

นิทานก่อนนอนไทยพื้นบ้านเรื่อง “อึน้อยปราบยักษ์” เรื่องนี้ เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ดัดแปลงจากนิทานในความทรงจำเรื่อง “ก้อนขี้รบยักษ์” ที่ได้ฟังจากคุณยายคันธรส สมัยที่ผมทำรายการเด็กชื่อ “บ้านน้อยซอยเก้า” และค้นพบต้นฉบับนิทานไทยพื้นบ้านอีกเรื่องที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน คือเรื่อง “ปลาดุกรบยักษ์” ผมจึงนำนิทานทั้งสองเรื่องมาเรียบเรียงใหม่ โดยยึดนิทานเรื่อง “ก้อนขี้รบยักษ์” เป็นแนวทาง แต่ขัดเกลาให้เหมาะสำหรับเด็กในยุคนี้มากขึ้น หวังว่าเด็ก ๆ จะยิ้มกว้างกับนิทานเรื่องนี้นะครับ

นิทานก่อนนอนไทยพื้นบ้านเรื่อง “อึน้อยปราบยักษ์”

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียักษ์เกเรตนหนึ่ง ชอบรังแกผู้คนและสัตว์ทั้งหลาย จนใครต่อใครพากันชิงชังเจ้ายักษ์กันโดยถ้วนหน้า แต่เพราะยักษ์เกเรตัวใหญ่และมีเรี่ยวแรงมากกว่าใคร ๆ ผู้คนและสัตว์น้อยใหญ่จึงพากันกลัว ไม่กล้าทำอะไรกับเจ้ายักษ์เกเรตนนี้

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้ายักษ์เกเรประกาศว่าจะมาจับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านไปเป็นคนรับใช้ แต่เนื่องจากยักษ์ตัวใหญ่มาก มันจึงต้องการจับเด็กหลายคนไปใช้งาน (เด็กที่ฟังนิทานอยู่ตอนนี้ คนไหนที่อยากเป็นคนรับใช้ของยักษ์ ให้ยกมือขึ้น แต่ถ้าใครไม่อยาก ให้แตะตัวหรือกอดคนเล่านิทานเอาไว้ดี ๆ นะจ๊ะ)

เมื่อคุณยายผู้แสนใจดี ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านได้ทราบข่าว คุณยายจึงกังวลว่าหลานจะถูกจับไปเป็นคนรับใช้ของยักษ์ ด้วยเหตุนี้ คุณยายจึงไปที่หน้าหิ้งพระ แล้วสวดมนต์ขอพรให้พระคุ้มครอง แต่เนื่องจากคุณยายไม่รู้หนังสือและไม่รู้จักบทสวดมนต์ คุณยายจึงท่องบทสวดตามนิทานที่เคยฟังว่า

“นะ…..โม…..ตัส….สะ….หนู…มา…ทำ….ไม…น่ะ

ทุติ ยัมปิ นะ….โม…..ตัส…..สะ…. มา….อีก…..แล้ว……น่ะ

ตติ ยัมปิ นะ…..โม…..ตัส……สะ…. นั่นแน่….ยัง…..มา…..อีก…..น่ะ

ไป ๆ อย่าหาทำ อย่าก่อกรรม จำขึ้นใจ สาธุ สาธุ สาธุ”

เด็ก ๆ ที่ฟังนิทานเรื่องนี้อยู่ อาจหัวเราะการสวดมนต์ของคุณยายว่าคงไม่ได้ผล แต่ในโลกของนิทาน อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะในขณะที่คุณยายสวดมนต์ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล มีอึน้อยกองหนึ่งบังเอิญสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่พอดี อึน้อยไม่อยากให้คุณยายเป็นกังวล ในขณะเดียวกัน อึน้อยก็เคยได้ยินเกี่ยวกับความเกเรของเจ้ายักษ์มานานแล้ว อึน้อยไม่กลัวที่จะถูกยักษ์ทำร้าย (เพราะอึไม่มีชีวิต ทำอะไรอึ อึก็ไม่เจ็บ แถมยังเปลี่ยนสภาพให้แข็ง ให้เหลว ให้เละ ให้เฟะ ให้กระจายปู้ดป้าดได้หมด) อึน้อยจึงตัดสินใจออกเดินทางไปสู้กับเจ้ายักษ์

แม้อึน้อยจะมีความกล้าอย่างบ้าบิ่นที่จะไปประกาศสู้รบกับเจ้ายักษ์เกเร แต่ลำพังอึน้อยเพียงกองเดียว คงไม่สามารถที่จะจัดการกับเจ้ายักษ์ได้

แต่โชคยังดี เพราะในขณะที่อึน้อยออกเดินทางไปยังบ้านของเจ้ายักษ์ มีปลาดุกตัวหนึ่งมองเห็นอึน้อยเข้า ปลาดุกจึงถามว่าอึน้อยจะไปไหน อึน้อยตอบว่า “ฉันจะไปปราบยักษ์” ปลาดุกมีความแค้นเคืองเจ้ายักษ์อยู่แล้ว มันจึงขอติดตามอึน้อยไปด้วย

ต่อมา มีตะขาบตัวหนึ่งมองเห็นอึน้อยกับปลาดุกกำลังเดินทาง ตะขาบจึงถามถามว่าอึน้อยจะไปไหน อึน้อยตอบว่า “ฉันจะไปปราบยักษ์” ตะขาบมีความแค้นเคืองเจ้ายักษ์อยู่แล้ว มันจึงขอติดตามอึน้อยไปด้วย

ต่อมา มีแมงป่องตัวหนึ่งมองเห็นอึน้อย ปลาดุกและตะขาบกำลังเดินทาง แมงป่องจึงถามถามว่าอึน้อยจะไปไหน อึน้อยตอบว่า “ฉันจะไปปราบยักษ์” แมงป่องมีความแค้นเคืองเจ้ายักษ์อยู่แล้ว มันจึงขอติดตามอึน้อยไปด้วย

ต่อมา มีนกแสกตัวหนึ่งมองเห็นอึน้อย ปลาดุก ตะขาบและแมงป่องกำลังเดินทาง นกแสกจึงถามว่าอึน้อยจะไปไหน อึน้อยตอบว่า “ฉันจะไปปราบยักษ์” นกแสกมีความแค้นเคืองเจ้ายักษ์อยู่แล้ว มันจึงขอติดตามอึน้อยไปด้วย

เมื่ออึน้อย ปลาดุก ตะขาบ แมงป่อง และนกแสก เดินทางไปถึงบ้านของยักษ์เกเร ทั้งหมดก็ปรึกษาหารือกันเพื่อหาวิธีในการปราบยักษ์ เมื่อหารือกันเรียบร้อย อึน้อย ปลาดุก ตะขาบ แมงป่อง และนกแสกก็พากันแยกย้ายเข้าประจำที่

ตกดึกคืนนั้น หลังจากที่เจ้ายักษ์เกเรดับไฟและเตรียมตัวเข้านอน ทันทีที่หัวของมันถึงหมอน แผนปราบยักษ์ก็เริ่มต้นขึ้น

ตะขาบที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอนเริ่มลงมือตามแผนด้วยการกัดที่หน้าของเจ้ายักษ์ ยักษ์เกเรทั้งเจ็บทั้งตกใจเพราะไม่รู้ว่าอะไรกัดมัน ยักษ์เกเรจึงลุกขึ้นเพื่อควานหาไม้ขีดมาจุดเทียน แต่อนิจจา…เมื่อยักษ์เกเรเอื้อมมือไปหยิบไม้ขีด แมงป่องที่ซ่อนตัวอยู่ตรงใกล้ ๆ กับไม้ขีดก็ต่อยเข้าที่มือของเจ้ายักษ์อย่างเต็มแรง เจ้ายักษ์ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด มันจินตนาการว่าบุคคลที่มาทำร้ายมันต้องเป็นตัวอะไรสักอย่างที่มีขนาดใหญ่และมีฤทธิ์มากแน่ ๆ เจ้ายักษ์เพิ่งเคยเจอคนที่แข็งแรงกว่ามัน เกเรกว่ามัน และกล้าจู่โจมมัน มันกลัวจนถึงกับต้องรีบลุกออกจากเตียงทั้ง ๆ ที่รอบตัวยังมืดตึ๊ดตื๋อ แต่เจ้ายักษ์เกเรโชคร้ายเหลือเกิน เพราะหลังจากที่เจ้ายักษ์เดินไปได้ไม่กี่ก้าว มันก็เหยียบอึน้อยในสภาพอึเปียก ๆ เหลว ๆ ทำให้เจ้ายักษ์ลื่นล้มจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยอึเหม็น ๆ เจ้ายักษ์ขยะแขยงอะไรไม่รู้ที่เปรอะอยู่เต็มตัว มันพยายามหาน้ำมาล้าง จึงเอามือควานหาโอ่งเพื่อวักน้ำขึ้นล้างตัว แต่ทันทีที่มันควานพบโอ่งน้ำและจุ่มมือลงไป ปลาดุกก็ยักมือของยักษ์จนยักษ์ร้องจ้ากด้วยความเจ็บปวด ยักษ์เกเรเห็นที่ว่าคงแย่แน่ ๆ มันจึงรีบลุกขึ้นเพื่อหนีลงจากบ้าน แต่ในขณะที่มันยังคลำทางในความมืด นกแสกผู้มีตาดีในตอนกลางคืน ก็พุ่งตัวเข้าจิกเจ้ายักษ์เกเรอย่างไม่คิดชีวิต

ยักษ์เกเรถูกโจมตีจนสะบักสะบอมไปหมด ในจินตนาการของมัน ผู้ที่ทำร้ายมันอยู่ต้องเป็นตัวอะไรที่ร้ายกาจและเกเรมาก ๆ เป็นแน่ เจ้ายักษ์เกเรกลัวจนทำอะไรไม่ถูก มันทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับใช้มือกุมศีรษะแล้วร้องขอชีวิต ที่สำคัญ ยักษ์เกเรเพิ่งได้สำนึกว่า การทำร้ายหรือรังแกผู้อื่นเป็นเรื่องที่ร้ายกาจเพียงใด ด้วยเหตุนี้ นอกจากที่เจ้ายักษ์เกเรจะร้องขอชีวิตแล้ว มันยังพูดออกมาอีกว่า “เราควรอยู่ในโลกนี้ร่วมกันอย่างสันติเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ข้าก็จะไม่เบียดเบียนหรือรังแกใครอีกแล้ว โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด”

เมื่อยักษ์เกเรพูดออกมาเช่นนั้น อึน้อย ปลาดุก ตะขาบ แมงป่อง และนกแสกก็เห็นว่าเจ้ายักษ์ได้บทเรียนอันสมควรแล้ว ดังนั้น ทั้งหมดจึงถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจในการปราบยักษ์ และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา เจ้ายักษ์เกเรก็ไม่เคยรังแกใคร ๆ อีกเลย

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

แอปเปิ้ลให้เพื่อน

นิทานก่อนนอนเรื่อง “แอปเปิ้ลให้เพื่อน” เป็นนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น ที่สะท้อนให้เห็นว่า ศาสนาชินโตที่คนญี่ปุ่นนับถือ มีสาระสำคัญไม่ต่างจากศาสนาอื่น ๆ คือการกล่อมเกลาให้คนมีจิตใจที่ดีงาม นอกจากนี้ การนับถือศาสนาชินโตยังส่งผลให้คนญี่ปุ่นมองโลกในแง่ดี มีความยืดหยุ่น ยอมรับความเปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัยหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี

นิทานก่อนนอนเรื่อง “แอปเปิ้ลให้เพื่อน” เป็นนิทานญี่ปุ่นสั้น ๆ ที่น่ารักและมีข้อคิดสอนใจ ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ได้อ่านนิทานเรื่องนี้จากงานวิจัยชิ้นหนึ่ง แล้วประทับใจ จึงลองนำต้นฉบับมาเรียบเรียงให้อ่านได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงเนื้อเรื่องแบบเดิมเอาไว้ทั้งหมด หวังว่านิทานญี่ปุ่นพร้อมข้อคิดเรื่องนี้ จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขกับการฟังนิทานก่อนนอนนะครับ

นิทานเรื่อง แอปเปิ้ลให้เพื่อน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเกษตรกรคนหนึ่งมีลูกชาย 4 คน

ลูกชายคนโตมีชื่อว่า “ทาโร่” ลูกชายคนรองมีชื่อว่า “จิโร่” ลูกชายคนที่สามชื่อว่า “ซาบุโร่” ส่วนลูกชายคนสุดท้องน้องสุดท้ายมีชื่อว่า “ชิโร่”

(แต่เนื่องจากชื่อเหล่านี้อาจทำให้เด็ก ๆ ในเมืองไทยสับสน ผู้เรียบเรียงจึงขอใช้ชื่อเล่นต่อไปนี้ แทนชื่อลูก ๆ แต่ละคน คือ ลูกคนโตที่ชื่อทาโร่ ขอเรียกเล่น ๆ ว่า “หนึ่งโร่” ลูกคนรองที่ชื่อจิโร่ ขอเรียกเล่น ๆ ว่า “สองโร่” ลูกชายคนที่สามที่ชื่อ “ซาบุโร่” ขอเรียกเล่น ๆ ว่า “สามบุโร่” และลูกชายคนที่สี่ที่ชื่อ “ชิโร่” ขอเรียกเล่น ๆ ว่า “เตาอั้งโล่” อุ๊ย! เรียกว่า “สี่โร่” ดีกว่า)

วันหนึ่ง เกษตรกรผู้เป็นพ่อเดินทางเข้าไปในเมือง แล้วพบแอปเปิ้ลผลใหญ่กว่าปกติมาก ๆ วางขายอยู่ คุณพ่อจึงซื้อแอปเปิ้ลกลับมาด้วย 7 ผล

หนึ่งโร่ สองโร่ สามบุโร่ ได้รับแอปเปิ้ลยักษ์จากคุณพ่อคนละ 2 ผล รวมเป็น 6 ผล

ส่วนน้องเตาอั้งโล่ เอ้ย! สี่โร่ ได้แอปเปิ้ลเพียงแค่ผลเดียว เพราะเป็นน้องคนเล็กที่ยังเป็นเด็กน้อยอยู่

เมื่อพ่อมอบแอปเปื้ลให้ลูก ๆ แล้ว พ่อจึงกำชับกับลูก ๆ ว่า “แอปเปิ้ลแบบนี้หากินยาก เป็นแอปเปิ้ลอย่างดี เอาไปกินซะนะ อย่าเอาไปให้ใครกินล่ะ”

ในคืนต่อมา พ่อเรียกลูก ๆ ทั้งสี่มาหาอีกครั้ง แล้วถามลูกทีละคนเกี่ยวกับแอปเปิ้ลที่ได้รับไป

พ่อถามอั้งโล่ เอ้ย! สี่โร่ลูกคนเล็กก่อนว่า “แอปเปิ้ลเป็นยังไงบ้างลูก?”

สี่โร่แลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วตอบพ่อว่า “ผมกินหมดแล้ว หมดเกลี้ยงเลย อร่อยมาก ๆ”

พ่อยิ้มแล้วถามหนึ่งโร่ลูกชายคนโตบ้างว่า ” แล้วลูกล่ะ แอปเปิ้ลเป็นยังไงบ้าง?”

หนึ่งโร่ตอบว่า “ผมกินหมดแล้ว มันอร่อยมาก แล้วผมก็เอาเมล็ดของมันไปปลูกเรียบร้อยแล้วครับ” พ่อยิ้มพร้อม ๆ กับชมหนึ่งโร่ว่า “เยี่ยมเลย เจ้านี่สมกับเป็นลูกชายคนโตของเกษตรกรจริง ๆ”

หลังจากนั้น พ่อก็ถามสองโร่ลูกชายคนรองว่า “แล้วเจ้าล่ะ แอปเปิ้ลเป็นยังไงบ้าง?”

สองโร่ตอบพ่อเขิน ๆ ว่า “ผมยังไม่ได้กินหรอกพ่อ คือ ผมเอาแอปเปิ้ลไปให้เพื่อนดู เพื่อนอยากกิน ผมก็เลยขายไปทั้งสองลูก ได้กำไรเยอะเลยครับ” พ่อส่ายหัวด้วยความเอ็นดูแกมระอาใจ แล้วจึงพูดว่า “เจ้านี่ชอบทำอะไรออกนอกลู่นอกทางอยู่เรื่อย ซื้อมาให้กินกลับเอาไปขาย แต่ก็ยังดีที่มีหัวการค้า”

ท้ายสุด พ่อหันมาถามลูกชายคนที่สามบ้างว่า “แล้วเจ้าล่ะสามบุโร่ แอปเปิ้ลเป็นยังไงบ้าง?”

สามบุโร่เป็นคนหัวอ่อน พูดน้อย แต่จิตใจดี เมื่อพ่อถาม เขากลับก้มหน้าหลบสายตาพ่อ และไม่ยอมตอบพ่อ จนพ่อต้องถามเขาอีกหลายครั้ง

พ่อเห็นท่าทางของลูกชายก็พอจะคาดเดาได้ พ่อจึงบ่นออกมาว่า “อุตส่าห์ซื้อแอปเปิ้ลอย่างดีมาฝาก แต่พอให้อะไรไป เจ้าก็คงเอาไปแบ่งให้คนอื่นเหมือนทุกครั้งอีกใช่ไหม”

สามบุโร่เม้มปาก ตาแดง เหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้ เด็กหัวอ่อนที่เชื่อฟังพ่อรู้สึกผิด จากนั้น เขาก็สารภาพกับพ่อว่า “พอดี….เพื่อนของผมไม่สบายมาก เขานอนป่วยอยู่หลายวันแล้ว ผมเลย….เอาแอปเปิ้ลอย่างดีที่พ่อให้ เอาไปให้เขา แต่ผมไม่ได้เอาไปให้เขากินนะ ผมแค่…..แค่วางไว้ที่ข้างเตียงของเขาเฉย ๆ แล้วก็กลับมา”

สามบุโร่บอกพ่อ เหมือนอยากบอกให้พ่อรู้ว่า เขาไม่เคยลืมคำที่พ่อกำชับไว้เลย แต่เขาอยากให้กำลังใจเพื่อนที่ป่วยอยู่

เมื่อพ่อมองลูกชายผู้มีจิตใจดีงาม พ่อก็ส่งยิ้มให้สามบุโร่อย่างอ่อนโยน จากนั้น พ่อก็พูดกับลูก ๆ ทุกคนว่า “สามบุโร่เป็นคนที่มีจิตใจดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเรา สิ่งที่พวกเราต้องจำไว้คือ พวกเราต้องไม่ลืมหัวใจดีงามแบบนี้นะ”

ลูก ๆ ทุกคนพยักหน้าและมองสามบุโร่ด้วยความชื่นชม ในที่สุด นิทานเรื่องนี้ก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น

…………………

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานอีสป หมากับเงา

นิทานอีสปเรื่อง หมากับเงา เป็นนิทานอีสปสั้น ๆ ที่ผู้อ่านสามารถนำไปใช้เป็นนิทานอ่านก่อนนอนได้ นิทานอีสปเรื่องนี้ แปลและเรียบเรียงมาจากต้นฉบับนิทานอีสปที่ชื่อว่า THE DOG AND HIS SHADOW วิธีการแปลเป็นการแปลแบบจับใจความ แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นนิทานที่อ่านเข้าใจง่าย ส่วนในตอนท้ายของนิทาน ผู้แปลและเรียบเรียง (แอดมิน) ได้เขียนสรุปข้อคิดเอาไว้ เพื่อช่วยให้คุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูสามารถนำไปพูดคุยกับเด็ก ๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งหากใครต้องการค้นหาที่แต่งโดย อีสป (Aesop) และอยากได้นิทานที่มีข้อคิดไปให้เด็ก ๆ อ่าน ก็สามารถนำนิทานพร้อมข้อคิดและผู้แต่งเรื่องนี้ ไปใช้เป็นนิทานสำหรับส่งเสริมการอ่านและการจับใจความได้ ส่วนผู้อ่านที่ต้องการอ่านนิทานอีสปภาษาอังกฤษ สามารถอ่านนิทานอีสปภาษาอังกฤษที่ลงต่อจากนิทานภาษาไทยได้เลย ขอให้มีความสุขกับการอ่านนิทานอีสปเรื่องนี้นะครับ


นิทานอีสป หมากับเงา

หมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นงามชิ้นหนึ่งมากินเป็นอาหารเย็น บางคนบอก มันขโมยเนื้อชิ้นนั้นมา แต่บางคนบอกว่า คนขายเนื้อมอบเนื้อชิ้นนั้นให้มันเป็นอาหาร (ซึ่งเราหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น)

เจ้าหมาชอบกินเนื้อที่บ้านมากที่สุด มันจึงวิ่งเหยาะ ๆ เยื้องย่างอวดเนื้อที่มันคาบอยู่ในปากอย่างมีความสุขราวกับเป็นพระราชา

ระหว่างทางกลับบ้าน เจ้าหมาต้องข้ามลำธารสายหนึ่งซึ่งมีไม้พาดผ่านเป็นสะพาน น้ำในลำธารนิ่งและใส เจ้าหมาหยุดยืนที่กลางสะพานและก้มมองดูผืนน้ำที่อยู่เบื้องล่าง เจ้าหมามองเห็นหมาอีกตัวหนึ่งซึ่งมีรูปร่างพอ ๆ กับมันปรากฏอยู่ตรงนั้นและกำลังจ้องมองมันอยู่ ที่สำคัญ หมาตัวนั้นคาบเนื้อชิ้นงามอยู่ด้วย

“ฉันจะเอาเนื้อชิ้นนั้นมาให้ได้” เจ้าหมาพูด “เนื้อที่ฉันมี กับเนื้อที่ฉันแย่งมาได้ จะต้องทำให้คืนนี้เป็นการกินอาหารเย็นที่สุขีสุโขที่สุด!”  ว่องไวปานความคิด เจ้าหมารีบกระโจนไปตะครุบเนื้อที่มันเห็น แต่การทำเช่นนั้น ทำให้มันต้องอ้าปาก ซึ่งเมื่อมันอ้าปาก เนื้อที่มันคาบอยู่ก็หล่นลงไปยังก้นของลำธาร

ทันใดนั้นเอง เจ้าหมาก็เห็นว่าเนื้อในปากของหมาอีกตัวได้หายไปด้วยเช่นกัน

เจ้าหมากลับบ้านไปด้วยอาการ “หมาหงอย” การพยายามไขว่คว้าเงาที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้เจ้าหมาสูญเสียชิ้นเนื้อที่มันมีอยู่ไปอย่างน่าเสียดาย

จบ

บันทึก :

นิทานเรื่องนี้มีข้อคิดที่น่าสนใจหลายประการซ่อนอยู่ เช่น การด่วนตัดสินใจอย่างไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ ดังเช่น เจ้าหมาที่มองเห็นเงาในลำธาร แล้วรีบกระโจนเข้าแย่งชิ้นเนื้อจากเงานั้น โดยไม่พิจารณาให้ดีเสียก่อน สุดท้าย จึงทำให้ต้องเปียกปอนและสูญเสียสิ่งที่มีอยู่แล้วไปอย่างน่าเสียดาย หรืออาจมองในแง่การสอนใจให้รู้จักพอในสิ่งที่ตนเองมี ดีกว่าการทะเยอทะยานด้วยความโลภ ซึ่งสุดท้าย ความโลภอาจทำให้ต้องสูญเสียสิ่งที่มีไปด้วย ดังเช่นเจ้าหมาที่ต้องสูญเสียชิ้นเนื้อที่คาบอยู่ไปด้วยความโลภที่อยากมีชิ้นเนื้อมากขึ้น (แถมยังเป็นการแย่งชิงของของคนอื่น)

THE DOG AND HIS SHADOW

A dog once had a nice piece of meat for his dinner. Some say that it was stolen, but others, that it had been given him by a butcher, which we hope was the case.

Dogs like best to eat at home, and he went trotting along with the meat in his mouth, as happy as a king.

On the dog’s way there was a stream with a plank across it. As the water was still and clear, he stopped to take a look at it. What should he see, as he gazed into its bright depths, but a dog as big as himself, looking up at him, and lo! the dog had meat in his mouth.

“I’ll try to get that,” said he; “then with both mine and his what a feast I shall have!” As quick as thought he snapped at the meat, but in doing so he had to open his mouth, and his own piece fell to the bottom of the stream.

Then he saw that the other dog had lost his piece, too. He went sadly home. In trying to grasp a shadow he lost his substance.

#นิทานอีสป

…………..