Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานาสอนใจเด็ก, นิทานเด็ก

ฉันชอบเธออย่างที่เธอเป็นมากที่สุด

“แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล มะละกอ มะละกอ มะละกอ

กล้วย กล้วย กล้วย ส้ม ส้ม ส้ม

แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้ม”

แอปเปิ้ลเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ยิ่งถ้าวันไหนได้ปลูกผักในสวน แอปเปิ้ลจะอยู่ในสวนได้ทั้งวัน

กล้วยเป็นเด็กที่ชอบศึกษาหาความรู้ ถ้าวันไหนกล้วยได้อยู่บ้านอ่านหนังสือหรือได้ไปห้องสมุด กล้วยจะมีความรู้สึกเหมือนได้ท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง

เมื่อถึงวันเกิดของลูก ๆ คุณแม่เห็นว่าลูก ๆ เป็นเด็กที่น่ารัก ไม่ดื้อไม่ซน และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์เสมอ คุณแม่จึงซื้อของขวัญเป็นตุ๊กตามาฝากลูกสาวคนละหนึ่งตัว

มะละกอได้ตุ๊กตาหมีที่มีชุดเป็นลายดอกไม้แสนอ่อนหวาน

ส่วนส้มไม่ได้ตุ๊กตาหมีเหมือนพี่ ๆ แต่เธอได้ตุ๊กตาเด็กไม่ใส่เสื้อแถมมีหัวจุก ซึ่งพี่ ๆ พากันร้องเพลงว่า “จ่อกกวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก จ่อก จ่อก กวิก กูลิติแกว็ด” กันอย่างสนุกสนาน

ในเวลาต่อมา เมื่อคุณแม่ไม่อยู่ มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิด

ในขณะเดียวกัน ตุ๊กตาหมีของมะละกอก็ส่งยิ้มให้มะละกอ พอมะละกอเห็น เธอก็ตาโตด้วยความประหลาดใจ แต่เธอก็ยิ้มตอบด้วยความดีใจ ที่จะได้มีเพื่อนเล่น

ส่วนตุ๊กตาเด็กหัวจุกที่ดูคล้ายกุมารทองของส้มนั้น มันรู้สึกว่าตัวของมันไม่น่ารักเหมือนตุ๊กตาตัวอื่น ๆ แถมมันยังไม่มีเสื้อใส่เสียด้วย เมื่อสบโอกาส เจ้าตุ๊กตาก็พยายามส่งยิ้มให้ส้มอย่างเจียมตัว แต่เมื่อส้มมองมาที่มัน ส้มกลับมีสีหน้านิ่งเฉย!

ในวินาทีนั้น ส้มเพิ่งได้สติเพราะมัวแต่คิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ส้มเพิ่งสังเกตเห็นว่าตุ๊กตาของเธอมีชีวิต และมีสีหน้าแปลก ๆ ด้วยเหตุนี้ ส้มจึงพูดกับตุ๊กตาว่า “เธอเป็นอะไรไปเหรอ ปวดห้องน้ำรึเปล่าจ๊ะ?”

ส้มมองเจ้าตุ๊กตาหัวจุกของเธอด้วยความเอ็นดู จากนั้น ส้มก็บอกกับเจ้าตุ๊กตาหัวจุกว่า

เจ้าตุ๊กตาหัวจุกเขินจนหน้าแดงไปหมด เพราะตลอดเวลา มันไม่เคยรู้สึกว่ามันมีค่าสำหรับใครเลย แต่ในวันนี้ มันรู้สึกว่า ตัวมันมีค่าจริง ๆ เมื่อได้อยู่กับเพื่อนใหม่ที่เห็นคุณค่าของมัน

ครั้นเมื่อคุณแม่กลับมา เด็กทุกคนก็ไม่ลืมที่จะไปหอมแก้มคุณแม่ เพราะนอกจากคุณแม่จะมอบของขวัญแสนพิเศษให้กับลูก ๆ ทุกคนแล้ว คุณแม่ยังรู้ใจลูก ๆ ทุกคนอย่างทะลุปรุโปร่ง

ถ้าใครจะหอม ขอฝากหอมด้วยสักสองสามฟอด จากนั้น ก็ขอให้ทุกคนเข้านอนอย่างมีความสุขนะจ๊ะ

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ทุกคนมีคุณค่าในแบบของตัวเอง แม้จะไม่เหมือนใคร
  • การยอมรับความแตกต่างคือพื้นฐานของความรักแท้จริง
  • ความคิดสร้างสรรค์สามารถเปลี่ยนสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งพิเศษ

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง เจ้าชายสัตว์ป่า

วันหนึ่ง  ในขณะที่เจ้าชายสัตว์ป่าเดินชมนกชมไม้อยู่เพลินๆ   จู่ ๆ เจ้าชายก็ได้กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก   เจ้าชายสัตว์ป่ารู้สึกว่ากลิ่นดังกล่าวหอมอย่างบอกไม่ถูก เจ้าชายจึงแอบย่องไปสังเกตการณ์ว่าใครแอบเข้ามาในป่าของพระองค์  แต่ทันทีที่เจ้าชายเห็นว่า ผู้บุกรุกคือเจ้าหญิงที่แสนน่ารัก พระองค์ก็รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างทำให้พระองค์หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  เมื่อได้สติ เจ้าชายจึงรู้ตัวว่าตนเองคง “ตกหลุมรัก” เจ้าหญิงเข้าให้เสียแล้ว  แต่เพราะเจ้าชายสัตว์ป่าเป็นเจ้าชายที่ไม่ใช่มนุษย์  เจ้าชายจึงรู้ดีว่า การจะไปขอแต่งงานกับเจ้าหญิง เป็นเรื่องที่ยากเสียจนไม่น่าจะเป็นไปได้

เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าทราบข่าว  เจ้าชายสัตว์ป่าก็รู้สึกมีความหวัง แต่เจ้าชายรู้ดีว่าตนเองเป็นเจ้าชายสัตว์ป่าที่แตกต่างจากเจ้าชายอื่น ๆ  พระองค์จึงใช้เวลาคิดอยู่หลายวัน เพราะรู้สึกว่าตนอาจไม่เหมาะสมกับเจ้าหญิง แต่ความรักที่เจ้าชายมีต่อเจ้าหญิงมีอานุภาพมาก ในที่สุด เจ้าชายสัตว์ป่าจึงตัดสินใจไปร่วมงานเลือกคู่

เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าไปถึงงาน เจ้าชายพบว่าตนเองมาถึงงานเป็นคนสุดท้าย   ครั้นเมื่อถึงเวลา  พระราชาได้แจ้งกติกาในการเลือกคู่ให้เจ้าชายทุกพระองค์ทราบว่า เจ้าชายที่สามารถนำอัญมณีสายรุ้งจากรังนกที่อยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้ามามอบให้แก่เจ้าหญิงได้  จะมีสิทธิ์ได้พูดคุยทำความรู้จักเพื่อให้เจ้าหญิงตัดสินใจเลือกเป็นคู่ครองต่อไป

ทันทีที่เจ้าชายทั้งหลายได้ฟังเงื่อนไขจากพระราชา  แม้เจ้าชายทุกพระองค์จะรู้ถึงความยากลำบาก  แต่การได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและการได้ครอบครองอาณาจักรต่อจากพระราชาเป็นการเดิมพันที่คุ้มค่า  เจ้าชายเกือบทั้งหมดจึงรีบกระโดดขึ้นขี่ม้าแล้วควบม้าฝ่าพายุฝนที่ตกลงมาพอดี  จนในท้องพระโรงเหลือเจ้าชายเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ยังไม่ออกเดินทางไปไหน ซึ่งนั่นก็คือ เจ้าชายสัตว์ป่า

เจ้าชายสัตว์ป่าส่งยิ้มให้พระราชาด้วยความอ่อนน้อม จากนั้น เจ้าชายสัตว์ป่าจึงตอบพระราชาไปว่า “กระหม่อมใช้ชีวิตอยู่ในป่า ในธรรมชาติ  กระหม่อมจึงได้เรียนรู้ว่า  บางครั้งเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทันที  แต่ในบางกรณี การหยุดรอแทนการเข้าไปปะทะอย่างไรประโยชน์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า  เมื่อกระหม่อมเห็นพายุฝนที่ซัดกระหน่ำลงมา และประเมินถึงภารกิจที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกหลายอย่าง กระหม่อมจึงขอเลือกเก็บแรงไว้ก่อน แล้วใช้เวลานี้วางแผน เตรียมสิ่งที่จำเป็น เพื่อใช้ในการเดินทาง ซึ่งน่าจะดีกว่าการออกไปปะทะกับพายุฝน”

หลังจากที่เจ้าชายสัตว์ป่าเดินทางมาได้ราวครึ่งวัน  จู่ ๆ เจ้าชายก็พบว่ามีเจ้าชายบางพระองค์ที่ออกเดินทางมาก่อน ขี่ม้านำหน้าพระองค์อยู่เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น   ซึ่งหลังจากที่เจ้าชายสัตว์ป่าควบม้าแซงหน้าเจ้าชายเหล่านั้นไปได้   เจ้าชายจึงคาดเดาว่า เจ้าชายบางพระองค์ที่ขี่ม้าฝ่าพายุฝน คงสะบักสะบอมเพราะพลังของธรรมชาติ ทำให้หมดสภาพที่จะเดินทางต่อไปยังจุดหมาย

ณ ลานทางเข้าป่าอาถรรพ์ มีเจ้าชายจำนวนมากที่เนื้อตัวมอมแมม (ซึ่งอาจเกิดจากการขี่ม้าฝ่าพายุฝนแล้วคลุกกับฝุ่นตอนขี่ม้ากลางแดด) กำลังครุ่นคิดว่าจะเดินทางผ่านป่าอาถรรพ์เพื่อมุ่งหน้าไปยังภูเขาเสียดฟ้าในทันที  หรือจะหยุดพักค้างแรมที่ลานทางเข้านี้ก่อนสักหนึ่งคืน แล้วค่อยเดินทางต่อในตอนเช้า

เมื่อเจ้าชายองค์อื่น ๆ เห็น “คู่แข่ง” ออกเดินทางไปก่อน  เจ้าชายทั้งหลายจึงเลิกคิดที่จะพัก  แต่กลับพากันกระโดดขึ้นม้าแล้วควบตามเจ้าชายองค์แรกไป จนลานกว้างเหลือเจ้าชายอยู่เพียงพระองค์เดียว คือ เจ้าชายสัตว์ป่า นั่นเอง

วันรุ่งขึ้น เจ้าชายสัตว์ป่าควบม้าคู่ใจเข้าไปในป่าอาถรรพ์ตั้งแต่เช้าตรู่  ระหว่างทาง เจ้าชายสัตว์ป่าพบร่องรอยการต่อสู้ระหว่างเจ้าชายทั้งหลายกับเหล่าปิศาจปรากฏให้เห็นอยู่เต็มไปหมด ทั้งการได้เห็นกิ่งไม้หักระเนระนาด  การพบเจ้าชายจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ  หรือการได้เห็นม้าหวาดกลัวจนหนีไปซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ ฯลฯ   เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าขี่ม้าพ้นออกมาจากเขตป่าอาถรรพ์และเดินทางต่อจนถึงตีนเขาสูงเสียดฟ้า  พระองค์ก็พบว่ามีเจ้าชายเพียงพระองค์เดียวที่เอาชนะเหล่าปิศาจได้จนหมด (ทำให้เจ้าชายสัตว์ป่าไม่ต้องสู้กับปิศาจเลย) ซึ่งเจ้าชายพระองค์นั้นกำลังควบม้าขึ้นสู่ยอดเขาสูงเสียดฟ้าเพื่อค้นหาอัญมณีสายรุ้ง

ครั้นเมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าเดินทางขึ้นไปถึงยอดเขา เจ้าชายสัตว์ป่าก็พบว่า รังนกจำนวนมากถูกรื้อค้นกระจุยกระจายไปหมด ส่วนลูกนกทั้งหลายต่างก็ส่งเสียงร้องอยู่ที่พื้นอย่างน่าสงสาร เจ้าชายสัตว์ป่ามองเจ้าชายอีกพระองค์ที่รีบเร่งค้นหาอัญมณีจนลืมใส่ใจต่อชีวิตน้อย ๆ ของลูกนกด้วยความรู้สึกสังเวชใจ  บุคคลเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ครองของเจ้าหญิงและคงเป็นพระราชาที่ดีไม่ได้แน่ ๆ  

แม้เจ้าชายสัตว์ป่าจะเห็นว่าเจ้าชายอีกพระองค์ได้เดินทางนำหน้าไปก่อนแล้ว  แต่แทนที่พระองค์จะรีบค้นหา   อัญมณีสายรุ้งบ้าง เจ้าชายสัตว์ป่ากลับเลือกที่จะสร้างรังพักฉุกเฉิน เพื่อให้ลูกนกที่สูญเสียรังไปได้มีที่อยู่ชั่วคราวก่อน  เมื่อภารกิจสำเร็จ พระองค์จึงเริ่มค้นหาอัญมณีสายรุ้ง…แม้จะเป็นการเริ่มต้นค้นหาที่ช้ากว่าเจ้าชายองค์แรกมากก็ตาม

เมื่อเจ้าชายมองไปที่ปากของนก เจ้าชายก็พบอัญมณีที่มีสีถึง 7 สี คือ สีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เจ้าชายแปลกใจ พลางตั้งสติพิจารณาสีของอัญมณีอีกครั้งอย่างรอบคอบ  จนมั่นใจว่าอัญมณีที่นกนำมาให้เป็นอัญมณีสายรุ้งที่พระองค์กำลังค้นหา   เจ้าชายรับอัญมณีมาจากนกด้วยความขอบคุณ  จากนั้น เจ้าชายสัตว์ป่าจึงออกเดินทางลงจากยอดเขาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองของเจ้าหญิง

เจ้าชายผู้เก่งกล้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะพระองค์รู้ดีว่าตนเองคงไปถึงเมืองของเจ้าหญิงช้ากว่าคู่แข่งเป็นแน่  เจ้าชายผู้เก่งกล้าจึงเล่าความจริงให้เจ้าชายสัตว์ป่าฟังว่า “ข้าพเจ้าประมาทเกินไป จึงเอาแต่บุกตะลุยเพื่อหวังจะเอาชนะ จนม้าประจำตัวหมดกำลังไปต่อไม่ไหว  ข้าพเจ้าคงแพ้ในการเลือกคู่ครั้งนี้แล้ว  ท่านไปต่อเถอะ อย่าเสียเวลาอยู่ตรงนี้เลย”

ครั้นเมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าและเจ้าชายผู้เก่งกล้าเดินทางไปถึงปราสาทของเจ้าหญิง พระราชาทรงออกมาต้อนรับเจ้าชายทั้งสองด้วยความกระตือรือร้น  เมื่อเจ้าชายทั้งสองได้พบพระราชา ทั้งคู่จึงนำอัญมณีสายรุ้งจากยอดเขาสูงเสียดฟ้ามอบให้พระราชาพิจารณาทันที

เจ้าชายผู้เก่งกล้าตกใจและรู้สึกผิดที่ตนเองรีบร้อน ไม่ตรวจสอบความถูกต้องให้ดีเสียก่อน  บางที การใช้แต่พละกำลังบุกตะลุยสู้กับอุปสรรค โดยขาดความรอบคอบ อาจบทเรียนที่พระองค์ควรปรับปรุงแก้ไข  ในขณะเดียวกัน    เจ้าชายผู้เก่งกล้าก็รู้สึกว่า เจ้าชายสัตว์ป่าคือเจ้าชายที่เหมาะสมกับเจ้าหญิงจริง ๆ  ทั้งในเรื่องความสามารถและจิตใจอันดีงาม  ดังนั้น เจ้าชายผู้เก่งกล้าจึงยอมรับคำตัดสินของพระราชาแต่โดยดี

หลังจากเจ้าชายสัตว์ป่าและเจ้าหญิงได้ทำความรู้จักนิสัยใจคอกัน และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้กันฟัง  เจ้าหญิงทรงชื่นชมความสามารถของเจ้าชายที่รู้จักบุกเมื่อควรบุก รู้จักหยุดเมื่อควรตั้งรับ  ทั้งยังรักในจิตใจอันดีงามของเจ้าชายที่มีต่อผู้อื่น (ทั้ง ๆ ที่เป็นคู่แข่ง) รวมทั้งความเมตตาที่มีต่อลูกนก ส่วนเจ้าชายสัตว์ป่าก็ทรงมีความสุขเมื่อได้คุยกับเจ้าหญิงที่ตนแอบหลงรัก ทั้งยังสบายใจเมื่อได้รู้ว่า เสด็จแม่ของเจ้าหญิงสืบเชื้อสายมาจากตระกูลนางเงือก  ทำให้เจ้าหญิงมีเลือดผสมที่สามารถอภิเษกสมรสกับเจ้าชายสัตว์ป่าได้

และแล้ว นิทานก็จบลงอย่างมีความสุข

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทาน, เด็ก

ตำนานรักหนึ่งบวกหนึ่ง

นิทานก่อนนอนเรื่อง “ตำนานรักหนึ่งบวกหนึ่ง” เป็นนิทานที่ผมแต่งในช่วงปีท้าย ๆ ของการเขียนนิทานให้นิตยสารขวัญเรือน (แต่เดิม นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า หนึ่งบวกหนึ่ง เมื่อนำมาลงในเว็บไซต์ ผมคิดว่าควรปรับชื่อให้บ่งบอกเนื้อหาของนิทานเพิ่มขึ้นอีกสักนิด จึงเปลี่ยนชื่อเป็น ตำนานรักหนึ่งบวกหนึ่ง) เนื้อเรื่องของนิทานเรื่องนี้ อาจดูเป็นเรื่องธรรมดา ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เรื่องที่เราคิดว่าใช่ เช่น การบวกลบที่เราคุ้นเคย หากเราคิดนอกกรอบ บางครั้งอาจมีคำตอบที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้ ปกของนิทานเรื่องนี้ที่ลงไว้ในเว็บไซต์นิทานนำบุญ ผมขอเลือกภาพครอบครัวของนักร้องที่ผมชื่นชมเป็นพิเศษ มาลงเป็นปกของนิทานเรื่องนี้ เพราะเมื่อวาน มีข่าวว่าทั้งคู่ได้โพสต์ คำว่า 1+1=3 เอาไว้ในสื่อออนไลน์ ขอแสดงความยินดีกับครอบครัวคุณตูนคุณก้อยด้วยนิทานเรื่องนี้นะครับ 🙂

นิทานเรื่อง ตำนานรักหนึ่งบวกหนึ่ง                

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนที่รักปลาหางนกยูงมาตั้งแต่ยังเด็ก การเลี้ยงปลาหางนกยูงทำให้เขามีจิตใจอ่อนโยนและมีความสุขมาก ครั้นเมื่อเขาโตเป็นหนุ่ม เขาจึงตัดสินใจเปิดร้านขายปลาหางนกยูงและคอยดูแลปลาหางนกยูงด้วยความเอาใจใส่

วันหนึ่ง มีทหารป่าวประกาศว่าพระราชาปรารถนาจะหาของขวัญวันเกิดที่แสนพิเศษให้แก่เจ้าหญิงผู้เป็นลูกสาวสุดที่รัก พระองค์จึงอยากให้ชาวเมืองนำของขวัญไปให้เจ้าหญิงเลือก ซึ่งถ้าเจ้าหญิงชอบของขวัญของใคร  พระราชาก็จะมอบรางวัลให้ตามแต่ผู้นั้นจะร้องขอ

เมื่อชายหนุ่มทราบข่าว  ชายหนุ่มผู้แอบหลงรักเจ้าหญิงมานาน จึงเลือกปลาหางนกยูงคู่หนึ่งซึ่งเขารักมากที่สุดเป็นของขวัญแทนใจ โดยเขาอธิษฐานว่าหากเขาและเจ้าหญิงมีดวงชะตาเป็นเนื้อคู่กัน ขอให้เจ้าหญิงเลือกปลาของเขาเป็นของขวัญ และเมื่อพระราชาให้ขอรางวัล ชายหนุ่มก็ตั้งใจจะขอแต่งงานกับเจ้าหญิงที่เขาแอบหลงรัก    

ในวันคล้ายวันเกิดของเจ้าหญิง เหล่าทหารนำของขวัญต่าง ๆ จัดเรียงไว้บนโต๊ะที่ตั้งเป็นแถวยาวเพื่อให้เจ้าหญิงเลือก โดยเจ้าของของขวัญจะยืนอยู่ที่ด้านหลังของโต๊ะเพื่อรับเสด็จและคอยตอบคำถามหากเจ้าหญิงมีข้อสงสัย 

เมื่อถึงเวลา เจ้าหญิงกับพระราชาทรงเดินดูของขวัญทีละชิ้น ๆ  เจ้าหญิงทรงเดินไปเรื่อย ๆ จนมาถึงโต๊ะตัวสุดท้ายซึ่งมีโหลปลาหางนกยูงตั้งอยู่ 

ครั้นเมื่อเจ้าหญิงก้มดูปลาหางนกยูงในโหล พระองค์ก็สังเกตเห็นว่าโหลใบนั้นมีการจัดแต่งอย่างเอาใจใส่เป็นที่สุด ส่วนปลาหางนกยูงสองตัวในโหล (ซึ่งรู้ว่าชายหนุ่มแอบชอบเจ้าหญิงอยู่) ก็พยายามว่ายน้ำคล้ายการเริงระบำเพื่อให้เจ้าหญิงประทับใจในท่วงท่าลีลาและหางแสนสวยของพวกมันให้ได้มากที่สุด 

เจ้าหญิงมองปลาหางนกยูงตาไม่กะพริบ  พระองค์ทรงเอ่ยปากถามชายหนุ่มทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ละสายตาจากโหลแก้วว่า “ปลาตัวเมียคือตัวที่มีหางสวย ๆ คล้ายกระโปรงใช่ไหมจ๊ะ” 

 ชายหนุ่มยิ้มแล้วตอบเจ้าหญิงอย่างสุภาพว่า “ปลาหางนกยูงตัวผู้จะมีหางสวยกว่าปลาหางนกยูงตัวเมียขอรับ”

น้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนของชายหนุ่มทำให้เจ้าหญิงเงยหน้ามองเจ้าของของขวัญชิ้นพิเศษ และเมื่อเจ้าหญิงได้สบตากับชายหนุ่ม พระองค์ก็ทรงรู้สึกหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ครั้นเมื่อถึงเวลาที่เจ้าหญิงต้องตัดสินใจเลือกของขวัญ เจ้าหญิงก็ทรงเลือกปลาหางนกยูงที่ชายหนุ่มนำมาถวาย ชายหนุ่มดีใจมาก และเมื่อพระราชาถามว่าชายหนุ่มต้องการสิ่งใดตอบแทน ชายหนุ่มจึงไม่รีรอที่จะขอรางวัลเป็นเจ้าหญิงที่เขาแอบหลงรัก

พระราชาทรงโมโหที่ชายหนุ่มบังอาจขอเจ้าหญิงแทนที่จะขอแก้วแหวนเงินทองต่าง ๆ แต่เมื่อพระราชาทรงลั่นวาจาไว้แล้ว พระองค์จึงผิดคำพูดไม่ได้  พระราชาใช้เวลาคิดนิดหนึ่ง จากนั้น พระองค์จึงเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยเสียงอันดังว่า “ข้ายินดีจะมอบลูกสาวให้แก่เจ้า แต่มีเงื่อนไขอยู่เพียงข้อเดียวคือ ข้าจะยกลูกสาวให้เจ้าในวันที่ 1+1 ไม่เท่ากับ 2 เท่านั้น  ฮ่า ๆ ๆ”

แม้คำพูดของพระราชาจะทำให้พระองค์ยกเจ้าหญิงให้แต่งงานกับใคร ๆ ไม่ได้อีก (เพราะถือว่าได้มอบให้แก่ชายหนุ่มไปแล้วตามคำสัญญา) แต่พระองค์ก็ไม่มีวันต้องเสียเจ้าหญิงให้แก่ชายหนุ่มหรือใครที่ไหน เพราะถึงอย่างไร 1+1 ก็ต้องเท่ากับ 2 ไม่มีทางได้ผลลัพธ์เป็นอื่นไปได้

ชายหนุ่มเสียใจมากที่พระราชายื่นเงื่อนไขเช่นนั้น  ส่วนเจ้าหญิงซึ่งเพิ่งรู้ตัวว่าพระองค์หลงรักชายหนุ่มก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน 

แต่ราวกับโชคชะตาได้กำหนดเอาไว้ เพราะเมื่อทหารนำโหลปลาหางนกยูงมามอบให้แก่เจ้าหญิง  เจ้าหญิงก็ทรงยิ้ม แล้วเอ่ยถามทหารที่นำโหลปลามาให้ว่า “ทหาร…ท่านช่วยดูในบัญชีของขวัญสักหน่อยว่าชายหนุ่มผู้นี้นำปลามามอบให้เรากี่ตัวกันนะ” 

“สองตัวน่ะสิลูก” พระราชาชิงตอบ “เมื่อครู่นี้เราก็เห็นปลาในโหลมีอยู่แค่สองตัวยังไงล่ะ”

เจ้าหญิงทรงยิ้มหวานให้พระราชา  แล้วค่อย ๆ ยกโหลไปให้พระบิดาพร้อมกับพูดว่า “เห็นทีลูกจะต้องไปอยู่กับชายหนุ่มผู้นี้เสียแล้ว  เพราะในโหลปลาที่เคยมีปลาเพียง 2 ตัว  บัดนี้ ปลา 1 ตัวบวกกับปลาอีก 1 ตัว มันได้ลูกปลาออกมาอีกถึง 8 ตัวเชียวเพคะ”

พระราชา, เหล่าทหาร, ชาวเมือง รวมทั้งชายหนุ่มต่างประหลาดใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น  แม้ตามปกติ 1+ 1 จะต้องเท่ากับ 2  แต่ในบางกรณี มันก็อาจเกิดเหตุการณ์อันแสนวิเศษที่เกินกว่าใคร ๆ จะคาดคิด

พระราชาทรงยอมรับต่อโชคชะตา บางทีมันอาจเป็นพรหมลิขิตที่ต้องการให้ชายหนุ่มได้แต่งงานกับเจ้าหญิงก็เป็นได้ 

ในที่สุด พระราชาจึงตัดสินใจยกเจ้าหญิงให้แต่งงานกับชายหนุ่ม แล้วทั้งคู่ก็ได้ครองรักกัน โดยชายหนุ่มกับเจ้าหญิงเริ่มต้นเพาะเลี้ยงปลาหางนกยูงร่วมกันนับจากนั้น  ซึ่งในเวลาต่อมา…ปลาหางนกยูงของทั้งสองก็กลายเป็นปลาหางนกยูงที่สวยที่สุดในโลกและสร้างรายได้ให้แก่เมืองของพวกเขาอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน

#นิทานนำบุญ

………………………..

Posted in ครอบครัว, ความรัก, เด็ก

ความรักที่ดีงาม

นิทานก่อนนอนความรักเรื่อง “ความรักที่ดีงาม” เป็นนิทานความรักที่มีลักษณะเป็นนิทานก่อนนอนไทยพื้นบ้านอยู่นิด ๆ และมีการสอดแทรกความเป็นนิทานความรักที่่เหมาะสำหรับเด็กลงไปด้วย นิทานความรักที่เหมาะสำหรับเด็กเป็นอย่างไร นิทานเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีตัวอย่างหนึ่ง ลองอ่านกันดูนะครับ

นิทานเรื่อง ความรักที่ดีงาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งคบหาดูใจกันมานาน ครั้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะที่ควร ชายหนุ่มได้ขอแต่งงานกับหญิงสาว โดยเขาสัญญาว่าจะดูแลหญิงสาวอย่างดีที่สุดและพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้หญิงสาวมีความสุขไปตลอดชั่วชีวิต

พ่อแม่ของหญิงสาวรู้จักชายหนุ่มมานานแล้ว ทั้งคู่เชื่อว่าชายหนุ่มรักลูกของตนจริง  ทั้งยังรู้ว่าลูกสาวเองก็รักชายหนุ่ม ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่ของหญิงสาวจึงยอมให้ทั้งคู่แต่งงานกัน

ช่วงก่อนถึงวันแต่งงาน  ชายหนุ่มได้สอบถามหญิงสาวเกี่ยวกับสถานที่ที่หญิงสาวอยากไปเที่ยวหลังวันแต่งงาน (หรือที่เรียกกันว่าการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์) โดยทั้งคู่มีเวลาว่างนานถึง 7 วัน…ก่อนที่จะต้องกลับไปทำงานต่อ

ชายหนุ่มบอกหญิงสาวคนรักว่าเขาอยากให้เธอเป็นคนเลือก เพราะเขาอยากทำให้เธอมีความสุขสมดังที่เขาได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้เมื่อหญิงสาวได้ฟัง เธอก็ยิ้มแล้วนิ่งคิดอะไรบางอย่างเงียบ ๆ  จนชายหนุ่มนึกสงสัย  ชายหนุ่มเดาว่าหญิงสาวอาจยังตัดสินใจไม่ได้ เขาจึงเสนอสถานที่ที่น่าสนใจให้หญิงสาวเลือก

เมื่อชายหนุ่มเสนอชื่อเมืองบางเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้าจนแทบจะเอื้อมมือแตะดวงจันทร์ได้  หญิงสาวตอบชายหนุ่มว่า “มันอาจเจริญเกินไปจนเรามองไม่เห็นความสุขนะคะ”

ครั้นเมื่อชายหนุ่มชวนหญิงสาวไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ดินแดนมังกรสายฟ้าซึ่งได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความสุข หญิงสาวก็บอกชายหนุ่มว่า “มันอาจเป็นสถานที่ที่ทำให้เรามีความสุข แต่อาจมีที่อื่นที่ทำให้เรามีความสุขอย่างลึกซึ้งได้มากกว่านั้นนะคะ”

ชายหนุ่มยิ้ม แล้วเสนอให้หญิงสาวไปยังดินแดนแห่งต้นโพธิ์ในตำนาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่น่าจะทำให้รู้สึกตื่นรู้และเบิกบานใจได้อย่างลึกซึ้งแน่ ๆ 

เมื่อหญิงสาวได้ฟัง หญิงสาวก็ยิ้ม จากนั้น เธอก็พูดกับชายหนุ่มอย่างอ่อนหวานว่า “ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร ในช่วง 7 วันนี้ เราไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในสถานที่ 3 แห่งนี้จะได้ไหม” 

หญิงสาวมองตาชายหนุ่ม แล้วพูดต่อไปว่า “ในช่วง 3 วันแรก น้องอยากชวนพี่ไปที่บ้านของน้อง เพื่อที่น้องจะได้ดูแลรับใช้พ่อกับแม่ และจัดการงานบ้านต่าง ๆ ให้เรียบร้อยที่สุดก่อนที่น้องจะออกเรือน  อีก 3 วันต่อจากนั้น  น้องอยากตามพี่ไปอยู่ที่บ้านของพี่ เพื่อดูแลปรนนิบัติคุณพ่อคุณแม่ของพี่  รวมทั้งดูแลความเรียบร้อยต่าง ๆ ก่อนที่เราจะไปอยู่ที่บ้านใหม่ และในวันสุดท้าย น้องอยากชวนพี่ไปอยู่ที่บ้านของเรา เพื่อจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้พร้อมสำหรับการเริ่มต้นชีวิตคู่ของเรา และนี่น่าจะเป็นสถานที่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ทำให้เราและครอบครัวของเรามีความสุขได้อย่างลึกซึ้งมากที่สุด”

ทันทีที่ชายหนุ่มได้ฟัง เขาก็ยิ้มและรู้สึกว่าเขาเลือกเจ้าสาวได้อย่างถูกต้องที่สุด เพราะเธอไม่ได้นึกถึงแค่ตัวเอง แต่เธอยังใส่ใจพ่อแม่ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตของพวกเขาทั้งสอง

หลังจากวันแต่งงาน เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจึงใช้ช่วงเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ทั้ง 7 วันทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ พ่อแม่ของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างมีความสุขมากที่ลูกและคู่ครองของลูกเป็นคนที่ดีเช่นนี้  พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายต่างมั่นใจว่า ลูก  ๆ จะต้องมีชีวิตครอบครัวที่เต็มไปด้วยความสุขเป็นแน่ ทั้งนี้เพราะ ผู้ที่กตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ว่าทำสิ่งใดก็จะพบแต่ความสุขความเจริญในชีวิต

#นิทานนำบุญ

……………………….

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทาน, เด็ก

นิทานความรัก : ปาฏิหาริย์กระต่ายผีเสื้อ

นิทานก่อนนอนเรื่อง ปาฏิหาริย์กระต่ายผีเสื้อ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีกระต่ายน้อยตัวหนึ่งเป็นกระต่ายที่ชอบอ่านหนังสือมากเป็นพิเศษ  เจ้ากระต่ายน้อยมักจะหอบหนังสือไปนอนอ่านเล่นในทุ่งดอกไม้ทุก ๆ วัน   กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โชยมาตามสายลม  ทำให้ช่วงเวลาในการอ่านหนังสือของเธออบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสดชื่น

วันหนึ่ง  ในขณะที่เจ้ากระต่ายตัวน้อยกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่เพลิน ๆ  มีผีเสื้อแปลกหน้าบินตรงเข้ามาเกาะที่หน้าผากของเจ้ากระต่ายน้อย ราวกับว่ามันอยากจะขออ่านหนังสือด้วย  แม้กระต่ายน้อยขนปุยจะเพิ่งเคยพบกับผีเสื้อตัวนี้เป็นครั้งแรก   แต่เธอกลับรู้สึกผูกพันกับเจ้าผีเสื้ออย่างประหลาด  Continue reading “นิทานความรัก : ปาฏิหาริย์กระต่ายผีเสื้อ”

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทาน, เด็ก

นิทานก่อนนอน : ความรักของหุ่นไล่กา

นิทานก่อนนอนเรื่อง ความรักของหุ่นไล่กา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีหุ่นไล่กาตัวหนึ่งยืนตากแดดตากฝนเฝ้านาโดยไม่เคยปริปากบ่น  แม้มันจะเหนื่อยที่ต้องคอยไล่อีกาซึ่งชอบเข้ามาขโมยกินข้าวในนา แต่หุ่นไล่กาก็ตั้งใจทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ เพราะมันรักงานของมัน และที่สำคัญ…มันแอบหลงรักลูกสาวชาวนาซึ่งเป็นผู้หญิงที่ขยันขันแข็งและมีนิสัยแสนน่ารัก

บ่อยครั้งที่หุ่นไล่กาเผลอมองลูกสาวชาวนาจนเหล่าอีกาเริ่มรู้สึกผิดสังเกต  ครั้นเมื่อพวกอีกาจอมเจ้าเล่ห์ทราบว่าหุ่นไล่กาแอบหลงรักหญิงสาวผู้เป็นมนุษย์  เหล่าอีกาจึงวางแผนหลอกหุ่นไล่กาให้ออกไปจากนา เพื่อที่พวกมันจะได้ขโมยกินข้าวได้อย่างสบายใจไร้ปัญหา

อีกาตัวหนึ่งเคยบินผ่านป่าเวทมนตร์และพบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถเนรมิตให้สิ่งไม่มีชีวิตกลายร่างเป็นมนุษย์ได้  เมื่ออีการู้ว่าหุ่นไล่กาหลงรักลูกสาวชาวนา  พวกมันจึงแกล้งบินคุยกันให้เสียงดังไปเข้าหูของหุ่นไล่กาว่า  “ในป่าเวทมนตร์ทางตะวันตก มีบ่อน้ำที่เนรมิตให้สิ่งไม่มีชีวิตกลายร่างเป็นมนุษย์ได้  ถ้าใครมีรักแท้ต่อมนุษย์ก็น่าจะลองเดินทางไปที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ดูนะ”

คำพูดของอีกาทำให้หุ่นไล่กาหูผึ่ง  ถ้ามันกลายเป็นมนุษย์ได้จริง  บางทีมันอาจมีโอกาสได้ทำความรู้จัก, พูดคุยหรือคบหากับหญิงสาวที่มันรักก็เป็นได้  ด้วยเหตุนี้  หุ่นไล่กาจึงวางแผนออกเดินทางไปยังป่าเวทมนตร์ในตอนกลางคืน (ซึ่งพวกอีกาคงหลับแล้ว) และตั้งใจจะรีบกลับมาเฝ้านาให้ทันก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น

อนิจจา! หุ่นไล่กาไม่รู้เลยว่ามันหลงกลของเหล่าอีกาเข้าให้เสียแล้ว เพราะหนทางไปยังป่าเวทมนตร์และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นเส้นทางที่ไกลแสนไกล คนธรรมดาที่มีขาก้าวเดินยังต้องใช้เวลา นานเป็นวันกว่าจะไปถึงได้  แต่หุ่นไล่กามีร่างกายทำจากฟางและไม่มีขาในการก้าวย่าง มันจึงได้แต่ขยับตัวทีละนิด ๆ และมีเพียงพลังใจเท่านั้นที่ทำให้มันเคลื่อนที่ไปได้  ด้วยเหตุนี้เอง  หุ่นไล่กาจึงใช้เวลานานถึง 10 ชั่วโมงกว่าที่มันจะไปถึงทางเข้าป่า ซึ่งในเวลานั้น เหล่าอีกาก็ตื่นนอนและบินไปขโมยกินข้าวในนาได้อย่างสบายใจเสียแล้ว

แม้หุ่นไล่กาจะใช้เวลาเดินทางมากกว่าที่มันคิด  แต่มันก็ไม่ยอมท้อถอย มันยังคงเดินทางเข้าป่าต่อไปทั้ง ๆ ที่มีอุปสรรคมากมายรอมันอยู่  เวลาผ่านไปนาน 3 วัน 3 คืน ในที่สุด หุ่นไล่กาก็ไปถึงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์และกลายร่างเป็นมนุษย์ได้สำเร็จดังที่มันตั้งใจเอาไว้

ครั้นเมื่อหุ่นไล่กาเดินทางออกจากป่าเวทมนตร์ในฐานะของชายพเนจร  เขาก็รีบตรงกลับไปยังนาข้าวด้วยความรู้สึกผิดที่ละทิ้งหน้าที่ 

ทันทีที่ชายหนุ่มไปถึงนา เขาก็พบว่ามีอีกานับร้อย ๆ ตัวบินลงมาขโมยกินข้าว โดยที่พ่อกับแม่และหญิงสาวได้แต่นั่งกุมขมับอย่างหมดสิ้นหนทางที่จะขับไล่อีกาเหล่านั้นให้ออกไปจากนาได้ 

ชายหนุ่มรู้สึกผิดมาก เขาจึงรีบเข้าไปในนา แล้วจัดการรวบรวมฟางข้าวที่มีอยู่ทั้งหมด นำมาทำเป็นหุ่นไล่กาตัวใหญ่ยักษ์สำหรับใช้ไล่ฝูงกาโดยเฉพาะ 

ไม่มีใครทำหุ่นไล่กาได้เก่งเท่ากับอดีตหุ่นไล่กาอีกแล้ว 

ด้วยเหตุนี้  เมื่อฝูงกาเห็นหุ่นไล่กาที่มีหน้าตาถมึงทึงดูน่ากลัว  พวกมันจึงรีบบินหนีและรู้สึกสยองขวัญจนไม่กล้าเข้าใกล้ที่นาผืนนี้อีก

พ่อกับแม่และหญิงสาวมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก  ใจหนึ่ง…ทุกคนทึ่งกับความสามารถอันแสนวิเศษของชายแปลกหน้าที่ไล่อีกาได้อย่างไม่น่าเชื่อ  แต่อีกใจหนึ่ง…พวกเขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับชายแปลกหน้าผู้นี้อย่างประหลาด

อย่างไรก็ตาม  เมื่อชายพเนจรไล่อีกาทั้งหมดไปแล้ว  พ่อกับแม่และหญิงสาวจึงชวนชายหนุ่มกินข้าวเพื่อเป็นการตอบแทน  ครั้นเมื่อชายหนุ่มกินข้าวจนอิ่ม เขาก็อาสาปลูกข้าวให้ชาวนาเพื่อเป็นการขอบคุณ

พ่อกับแม่และหญิงสาวเห็นว่าชายหนุ่มมีเจตนาดีจึงอนุญาต  ครั้นเมื่อทุกคนเห็นชายหนุ่มทำงานในนาด้วยความขยันขันแข็ง  พวกเขาก็ยิ่งประทับใจชายหนุ่มมากขึ้นไปอีก 

ในเวลาต่อมา  เมื่อพ่อกับแม่และหญิงสาวทราบว่าชายหนุ่มเป็นคนพเนจร…ไม่มีบ้านและครอบครัว  พวกเขาจึงชวนให้ชายหนุ่มมาพักอาศัยด้วย

ชายหนุ่มดีใจที่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตในบ้านเดียวกับหญิงสาว  เขาจึงอาสาดูแลนาและช่วยทำงานต่าง ๆ อย่างเต็มที่

เวลาผ่านไปราว 3 ปี ชายหนุ่มดูแลนาด้วยความขยันขันแข็งคงเส้นคงวา ในขณะเดียวกัน เขาก็ใกล้ชิดสนิทสนมกับหญิงสาวมากขึ้นเรื่อย ๆ พ่อกับแม่ของหญิงสาวเห็นว่าชายหนุ่มเป็นคนดีและเป็นที่พึ่งของลูกสาวได้ ท่านทั้งสองจึงตัดสินใจยกลูกสาวให้แต่งงานกับชายหนุ่ม

ชายหนุ่มดีใจที่เขาได้รับความไว้วางใจจากพ่อแม่ของหญิงสาว แต่เขาไม่แน่ใจว่าหญิงสาวจะมีใจให้เขาบ้างหรือไม่  ครั้นเมื่อพ่อกับแม่ถามความสมัครใจของลูกสาวสุดที่รัก  หญิงสาวก็ได้แต่อายจนหน้าแดง แล้วตอบตกลงแต่งงานกับชายหนุ่มซึ่งเธอเองก็แอบมีใจให้มานานแล้ว

ในที่สุด  ความรักของชายหนุ่มผู้เคยเป็นหุ่นไล่กาก็สมหวัง  เขาพยายามดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี  และทั้งคู่ก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขสืบมา

#นิทานนำบุญ

……………………
 
 
Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทาน, เด็ก, เรื่องสั้น

7 นิทานรักสุดพิลึก ที่น้อยคนจะเคยอ่าน

นิทานรัก 7 เรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่อ่านแล้วอาจหลงรักในความ
มะริ่งกิ่งก่อง  สะระน๊องก่องแก่ง มะน่องมะแน่งมั๊บ
ปะล่องป่องแป่ง ง้องแง้งง้องแง้ง ในชีวิตเธอ
ฉลองวันแห่งความรัก วาเลนไทน์ 2020 

Continue reading “7 นิทานรักสุดพิลึก ที่น้อยคนจะเคยอ่าน”

Posted in ข้อคิด, ความรัก, ประสบการณ์ชีวิต, เรื่องเล่า

มนุษย์ใจ

มนุษย์ใจ

ปี 2561
คุณคำติ่ง เพื่อนชาวลาวเจ้าของเรือนพักที่เคยพบกันที่ดอนเดต ประเทศลาว ส่งข้อความมาหาพี่นำบุญ (ซึ่งปกติไม่เคยติดต่อกัน ยกเว้นเจอกันปีละครั้งตอนพี่นำบุญแบกเป้ไปเที่ยวซ้ำๆที่ดอนเดต) คุณคำติ่งเล่าว่า
“คุณยายไม่สบายมาก อาจมีเนื้องอกที่ท้อง แต่ท่านไม่ยอมไปตรวจให้แน่ชัดที่โรงพยาบาลในเวียงจันทน์ ยกเว้นถ้าพี่นำบุญไปเวียงจันทน์ คุณยายถึงจะยอมไป เพราะท่านบ่นคิดถึงพี่นำบุญ”
………..
ตอนอ่านข้อความ พี่นำบุญมีความรู้สึกหลายอย่าง
1) คิดถึงคุณยาย เพราะปีหลัง ๆ ที่ไปเที่ยวแล้วแวะทักคุณยาย คุณยายจะเล่าให้ฟังว่า “ถ่ายไม่ออกเลย ออกมานิดเดียว ทรมาน ปวดหลังไปหมด” พี่นำบุญยังจำได้ว่าปีแรก ๆ ที่ไปดอนเดต เคยพักที่เรือนพักของคุณยาย คุณยายเห็นมาคนเดียว เลยชวนกินข้าวเหนียวกับน้ำพริก เวลาไปดอนเดตแต่ละปี ถ้าพี่นำบุญขี่จักรยานผ่าน ก็จะแวะเยี่ยมคุณยายเสมอ บางทีก็ไปนวดหลังให้ (บ้าเนอะ) บางทีก็แวะคุยคลายเหงา หรือบางทีก็เอายาพวกจุลลินทรีย์ที่ช่วยเรื่องขับถ่ายไปให้ ถ้าพูดตามจริง พี่นำบุญกับคุณยายไม่ได้ผูกพันกันมาก แต่ทุกครั้งที่พบและแวะคุย ก็เพราะรู้สึกว่า การทำให้ผู้สูงอายุยิ้มได้หรือมีความสุขขึ้นอีกนิด ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากยากเย็นอะไร ทำเพราะอยากทำให้ ทำเพราะเป็นสิ่งที่ควรทำ
……
2) ตอนอ่านข้อความ พี่นำบุญอยู่ในช่วงท้าย ๆ ของการทำวิทยานิพนธ์ ป.โท ช่วงนั้น ทำวิจัยหนักมาก ทำทั้งวัน ทั้งการสัมภาษณ์และเขียนตัวเล่ม การเดินทางในช่วงนั้น จึงเสี่ยงที่อาจทำให้ไม่จบป.โทตามเวลาที่ตั้งไว้
……
3) ตอนอ่านข้อความ พี่นำบุญกลัวโดนหลอก! บทเรียนที่ได้จากการช่วยเหลือคนอื่น ทำให้ “กลัวการเป็นคนดี” ช่วงนั้นคือกลัวมาก ระวังตัวมาก เพราะใจคนเป็นสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ ส่วนคุณคำติ่ง ก็ได้เจอกันราวปีละครั้ง จำความดีของเขาได้ว่า เขาเคยชวนพี่นำบุญกินกาแฟที่ร้านโดยไม่คิดเงิน คือเขากับภรรยาถือว่่าเป็นคนมีน้ำใจ (แต่ถึงอย่างนั้น พี่นำบุญก็ยังไม่กล้ามั่นใจ)
…..
แต่พอเลิกใช้สมองคิด แล้วกลับมาใช้หัวใจ พี่นำบุญก็บอกกับตัวเองว่า “ไปเถอะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้ แต่ตอนนี้ เราควรไป เพราะกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งกับคนป่วยและญาติ ๆ ที่ดูแล
……….
ก่อนการเดินทาง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ร่างกายพี่นำบุญแย่มาก (เพราะโหมงานแทบไม่ได้พัก) แถมวันก่อนบิน ท้องก็ดันเสียทั้งคืน ถ่ายจนรู้สึกว่า…อีกครั้งเดียวต้องเข้าโรงพยาบาลแล้ว มันเจ็บมาก เจ็บจนรู้สึกว่าควรไปได้แล้ว จะซื้อยาแก้ท้องเสียมากินเองก็ลำบาก เพราะแพ้ยาปฏิชีวนะหลายตัว กินแล้วผิวไหม้เหวอะ ถ้าไปนอนโรงพยาบาล พรุ่งนี้ก็คงไม่ได้เดินทาง (แต่คุณยายกำลังเดินทางไปเจอกันที่เวียงจันทน์นะ เราจะผิดสัญญาเหรอ) คืนนั้น พี่นำบุญเลยอดทนจนรุ่งเช้า ตื่นมาก็อัดยาแก้ท้องเสียพวกอุลตร้าคาร์บอน คิดในใจว่า คุณยายหนักกว่าเราเยอะ ลองลุยดู ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ระหว่างทางค่อยหาหมอ (แต่ก็รู้ว่า เรื่องท้องเสีย…มันมีโอกาสพุ่งได้ตลอดเวลา ภาวะตอนนั้นมันน่ากลัวจริง ๆ)
………
การเดินทางจากบ้านที่สำโรง ไปดอนเมือง ใช้เวลาไม่น้อย และจากอุดรข้ามไปเวียงจันทน์ก็ใช้พลังงานและความอดทนอย่างที่สุด วันนั้น ร่างกายพี่นำบุญโทรมสุด ๆ แต่เพราะคำสัญญา พี่นำบุญจึงอดทนข้ามฝั่งไปจนได้
……..
เมื่อถึงที่พัก พี่นำบุญรีบเข้าห้องน้ำ อัดยา แล้วติดต่อคุณคำติ่งว่ามาถึงแล้วนะ สักพัก คุณคำติ่งก็มารับพาไปเยี่ยมคุณยายที่โรงพยาบาลมะโหสด ตอนนั้น พี่นำบุญสาบานได้ว่า ข้างในร่างกายของพี่นำบุญมันเหนื่อยแบบที่สุด อยากพักที่สุด ไม่อยากทำอะไรแล้ว แต่เมื่อไปถึงโรงพยาบาล (ที่เหมือนย้อนเวลาไป 20 ปี) และเดินเข้าไปอยู่ต่อหน้าคนป่วย พอมองตาคุณยาย เห็นสีหน้าคุณยาย (ที่กินไม่ได้มาหลายวัน) พี่นำบุญก็ต้องทำตัวสดชื่นสดใสมาก ๆ เพื่อให้กำลังใจคุณยายที่นอนรออยู่ (ฝีมือการแสดงดีไหมครับ)

48394269_10216025598305995_2895380996335599616_n
………
พี่นำบุญอยู่ส่งกำลังใจให้คุณยายจนเย็น (ราว 3-4 ชั่วโมง นานมาก) พอกลับมาที่พัก ท้องก็ทรง ๆ ไม่น่ากลัวมากอย่างที่คิด คืนนั้น พี่นำบุญเดินเล่นนิดหน่อยแล้วกลับมานอน หลับแบบคนหมดสภาพ หมดจริง ๆ รู้ตัวว่า ควรรีบกลับมาฝั่งไทย เพราะเผื่อท้องเสียอีกมันอาจจะทนไม่ไหวแล้ว (ไม่อยากเข้าโรงพยาบาลฝั่งลาว)……
เช้าวันต่อมา ท้องที่ดูเหมือนจะสงบลง ก็เริ่มมีอาการอีก พี่นำบุญกัดฟันไปถ่ายรูปวัดสีสะเกด เพื่อถ่ายรูปพระตามที่ตั้งใจไว้ พี่นำบุญถ่ายไป เหงื่อตกไป เพราะอากาศอบอ้าว ร่างกายยังไม่ฟื้น และท้องเริ่มปั่นป่วน พอถ่ายไปได้ครึ่งวัด ข้าศึกก็บุก เป็นกองทัพที่โหดเหี้ยม ถึงขั้นต้องขอทิชชู่จากพนักงานสาว (อายมาก เขาให้ 2 แผ่น พี่นำบุญบอกไม่พอ ขอทั้งม้วนเถอะ ข้าศึกดุมาก) จากนั้น ก็วิ่งเข้าห้องส้วมของวัดที่น่ากลัวพอสมควร
……
หลังออกจากส้วม ร่างกายของลุงแก่ ๆ ก็หมดสภาพจริงจัง ขาเปลี้ย หน้าซีด พี่นำบุญต้องรีบหาน้ำอัดลมดื่ม นั่งพัก ไม่งั้นช็อค แต่ยังซ่าขอถ่ายรูปพระอีกนิด ฝืนจนไม่รู้จะฝืนยังไง แล้วรีบกลับที่พักเพื่อเช็คเอ้าท์
…….
เช็คเอ้าท์เสร็จ ตีรถข้ามมาฝั่งไทย แล้วนั่งรถตู้มาที่อุดร (เขียนน้อยแต่ไกลนะ หลายชั่วโมง) แล้วพุ่งตรงมาที่โรงพยาบาลกรุงเทพอุดร บอกเขาว่าขอแอดมิด ไม่ไหวแล้ว
…..
คืนนั้น พี่นำบุญนอนโรงพยาบาลคนเดียว (การเฝ้าตัวเองเป็นเรื่องปกติ) ตอนเช้าตามข่าวคุณยาย คุณคำติ่งแจ้งข่าวอาการป่วย ว่าเป็นจริงอย่างที่คิด คือ คุณยายเป็นมะเร็ง แล้วมะเร็งมันไปอุดช่องทางเดินอาหาร เลยมีผลต่อการขับถ่ายและการกินอาหาร
…..
ตอนฟังข่าว พี่นำบุญไม่พูดอะไร หน้าที่ของเราคือการฟัง ฟังการคิดและการตัดสินใจของลูก ๆ หลาน ๆ วันนั้น พี่นำบุญนอนให้น้ำเกลืออยู่ในโรงพยาบาล ร่างกายยังไม่แข็งแรงเต็มที่ ใจก็ห่วงทั้งคุณยายและคุณคำติ่ง รวมทั้งลูก ๆ หลาน ๆ ของคุณยาย ในที่สุด พี่นำบุญก็ได้ฟังความคิดของคุณคำติ่งว่า “ทุกคนอยากสู้และดูแลคุณยายให้ดีที่สุด”
……
คนที่ไม่เคยเจอ “ทางตัน” ในชีวิต ไม่มีทางรู้หรอกว่า ภาวะตรงนั้นมันหนักหนาขนาดไหน เมื่อญาติผู้ป่วยตั้งใจจะสู้ พี่นำบุญจึงเต็มใจจะช่วยให้ถึงที่สุด แม้ช่วยได้ไม่มาก แต่ก็อยากช่วยเพื่อเป็นกำลังใจให้ญาติผู้ป่วยรู้ว่า พวกเขาไม่ได้สู้อยู่ตามลำพัง
…..
วันนั้น พี่นำบุญถ่ายคลิปตัวเองพูดทั้ง ๆ ป่วย ๆ อยู่ เพื่อขอความรู้จากเพื่อน ๆ ที่เป็นหมอหรือพยาบาลแล้วเอาลงในเฟสบุ้คส่วนตัว จากนั้น ก็โทรหาโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านมะเร็งที่อุดร เพื่อสอบถามข้อมูลแทนคุณคำติ่ง เพราะการเป็นคนต่างชาติ ทำให้ไม่สะดวกนักที่ต้องโทรคุยด้วยตัวเอง (พี่นำบุญบอกตัวเองตลอดเวลาว่า หน้าที่ของเราซึ่งเป็นคนนอกครอบครัว ทำได้เพียงสนับสนุนและให้กำลังใจ ไม่เข้าไปก้าวก่าย ไม่ไปตัดสินใจแทน แต่อยู่แถว ๆ นั้น และพร้อมช่วยเหลือตามกำลัง)……
สรุปคือ เหตุการณ์วันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่….ถึงจะยากลำบากแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่พี่นำบุญก็อิ่มใจ ที่ชีวิตของตัวเอง (ที่อาจไม่มีค่าสักเท่าไหร่) พอจะทำประโยชน์ให้กับใคร ๆ ได้บ้าง โดยเฉพาะกับคนที่มีหัวใจดี ๆ อย่างคุณคำติ่ง ที่ยืนยันว่า เขาอยากสู้เพื่อดูแลคุณยายให้ดีที่สุด
……
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น คุณยายเข้าผ่าตัดและสอดท่ออาหารให้ทางหน้าท้อง จากนั้น คุณยายก็ได้กลับบ้านที่ดอนเดต ด้วยสีหน้าที่สดใส โดยมีคุณคำติ่งและลูกหลานคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
…..
แม้หลังจากนั้นอีกไม่นาน คุณยายจำเป็นต้องเดินทางไกลด้วยกฏธรรมชาติ แต่อย่างน้อย คุณยายก็ได้สัมผัสกับสิ่งที่มีค่าที่สุด นั่นคือ “ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข” ของลูกหลานที่คอยดูแลจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย
….
ขอบพระคุณคุณยายและคุณคำติ่ง รวมทั้งครอบครัว ที่ให้โอกาสพี่นำบุญได้สัมผัสกับความงดงามในใจของมนุษย์อีกครั้ง และได้เห็นคุณค่าที่ตัวเองพอจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้
……..
ปีที่แล้ว เป็นปีแรกในรอบ 8-9 ปีที่พี่นำบุญไม่ได้ไปดอนเดต เพราะร่างกายไ่ม่ไหว (การเดินทางไม่สะดวกสบายนัก) แต่ปีนี้ พี่นำบุญจะพยายามไป อยากกลับไปดินแดนที่พี่นำบุญเรียกว่า “สวรรค์” และตั้งใจจะไปกราบลาคุณยายด้วยตัวเอง

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทาน, เด็ก

เจ้าชายหมีถัก – นิทานแฟนตาซีความรักอบอุ่น ซาบซึ้งใจสำหรับเด็กและผู้ใหญ่

โลกของเรามีนิทานเกี่ยวกับความรักอยู่มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ตัวละครในนิทานความรักมักเป็นเจ้าชายกับเจ้าหญิง  แต่ในบรรดานิทานเจ้าชายเจ้าหญิงทั้งหลาย  คงมีนิทานเพียงไม่กี่เรื่อง ที่ตัวเอกฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าหญิงแสนสวย ส่วนตัวเอกอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าชายตุ๊กตาหมี ที่ถักจากไหมพรม! ถ้าคุณๆอยากรู้ว่า นิทานความรักสะท้อนแง่มุมดี ๆ เรื่องนี้มีเรื่องราวเป็นอย่างไร ผู้แต่งคงต้องขอให้ลองอ่านนิทานรักแท้เรื่องนี้ดู แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า นิทานความรักที่เสียสละเรื่องนี้อาจทำให้บางคนต้องเสียน้ำตา

…………………………………………………

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทาน, เด็ก

นิทานแอบรัก : เจ้าหญิงขี้อายกับเจ้าชายหูเพี้ยน

ในบรรดานิทานก่อนนอนเรื่องต่าง ๆ  นิทานเรื่อง “เจ้าหญิงขี้อายกับเจ้าชายหูเพี้ยน” จัดได้ว่าเป็นนิทานตลกๆก่อนนอนที่ผู้เขียนชอบมาก  เพราะนอกจากนิทานเรื่องนี้จะเป็นนิทานความรักที่ดูกุ๊กกิ๊กแล้ว   พระเอกของเรื่องที่มีปัญหาในการฟัง และนางเอกที่มีนิสัยขี้อายแบบสุด ๆ ก็เป็นตัวละครในนิทานคู่รักที่เหมาะเจาะลงตัวสำหรับการผูกเรื่องให้เป็นนิทานรักตลก ๆ ที่น่าจะสร้างความสนุกสนานให้กับคนฟังได้ไม่ยาก  แถมตัวละครเสริมอย่างไก่ แมว และ อีกา ที่มีบทบาทในการคลี่คลายเรื่องราว ทำให้ “นิทานแอบรัก” เรื่องนี้ จบลงอย่างมีความสุข (ในแบบที่ทุกคนคงจดจำไปอีกนาน)

Continue reading “นิทานแอบรัก : เจ้าหญิงขี้อายกับเจ้าชายหูเพี้ยน”