Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานสอนใจ

คำสอนของแม่ – นิทานก่อนนอนสอนใจที่อบอุ่นและให้พลังใจแก่ทุกคน

นิทานต่อไปนี้ เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เคยแต่งลงใน นิตยสารขวัญเรือน และเคยนำลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ นิทานนำบุญ สาขา 2 ซึ่งปัจจุบันได้ปิดตัวไปแล้ว ในโอกาสที่เว็บไซต์ นิทานนำบุญ กำลังปรับปรุงเนื้อหาและยุติการเผยแพร่นิทานบางส่วน ผมจึงอยากนำนิทานเรื่องนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่อาจมีผู้อ่านไม่มากนัก กลับมาเผยแพร่อีกครั้ง

นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพลังใจของเด็กหญิงคนหนึ่งผู้เติบโตมาท่ามกลางความยากลำบาก แต่เธอมีหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ และเชื่อมั่นในคำสอนของแม่ผู้เปี่ยมด้วยความรักและเมตตา เรื่องราวสะท้อนให้เห็นคุณค่าของความมุ่งมั่น ความกตัญญู และความพยายามในการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยใจจริง เป็นนิทานที่จะทำให้ผู้อ่านได้ทั้งความอบอุ่นและแรงบันดาลใจในเวลาเดียวกัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสาวน้อยคนหนึ่งชื่อว่า “ลินลา” ลินลาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ กับแม่และน้องอีกสองคน ครอบครัวของลินลามีฐานะไม่สู้ดีนัก หนำซ้ำ แม่ของลินลาก็อายุมากแล้ว ลินลาจึงอยากหางานทำเพื่อนำเงินมาดูแลแม่และน้อง ๆ ให้มีชีวิตสุขสบายกว่าที่เป็นอยู่

วันหนึ่ง ลินลาทราบข่าวว่า พระราชินีทรงต้องการสาวใช้คนใหม่ไปทำงานในวัง แม้ลินลาจะไม่รู้ระเบียบวิธีในการทำงานรับใช้เจ้านายในวังมาก่อน แต่เธอก็คิดว่า นี่คงเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เธอดูแลแม่กับน้อง ๆ ให้สุขสบายได้เร็วขึ้น ลินลาจึงขออนุญาตแม่ไปสมัครทำงาน ทั้ง ๆ ที่เธอก็แอบหวั่นใจอยู่ไม่ใช่น้อย

ก่อนออกเดินทาง แม่ของลินลากอดลูกสาวคนดีเอาไว้ในอ้อมอก พร้อมกับให้กำลังใจว่า “งานทุกอย่าง…ถ้าเราเอาใจใส่ ก็ไม่มีอะไรยากจนเราทำไม่ได้หรอกนะลูก”

คำสอนของแม่ทำให้ลินลาอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ลินลากอดแม่แนบแน่น จากนั้น เธอก็ลาแม่เพื่อเดินทางไปยังพระราชวังตามที่ตั้งใจเอาไว้

เมื่อมาถึงพระราชวัง ลินลาพบว่ามีสาวชาวบ้านแห่แหนกันมาสมัครเป็นสาวใช้ในวังนับได้เกือบหนึ่งร้อยคน แต่เนื่องจากตำแหน่งที่ว่างมีเพียงตำแหน่งเดียว นางข้าหลวงในวังจึงต้องทดสอบเด็กสาวแต่ละคนว่าจะทำงานได้ดีสักแค่ไหน

งานแรกที่ลินลาต้องลองทำคือการดูแลที่นอนในห้องบรรทมของพระราชา ลินลาไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรบ้าง เธอค่อย ๆ คิด คิดอย่างเอาใจใส่ ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจเริ่มงานด้วยการซักผ้าปูที่นอนจนสะอาดเอี่ยม แล้วนำมันไปตากให้หอมกลิ่นแดด จากนั้น เธอก็นำผ้ามาปูบนเตียงจนเรียบตึง แล้วนำดอกไม้หอมจัดใส่แจกันตั้งไว้ในห้อง เมื่อพระราชาที่เหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวันได้เห็นเตียงที่ปูอย่างเรียบร้อยและหอมสะอาดเป็นพิเศษ แถมยังมีกลิ่นดอกไม้ชวนให้สบายใจ พระองค์จึงนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน

วันต่อมา ลินลาได้รับมอบหมายให้ดูแลสวนดอกไม้ของพระราชินี ในตอนแรก ลินลาไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรบ้าง เธอค่อย ๆ คิด คิดอย่างเอาใจใส่ ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจเริ่มงานด้วยการตัดหญ้าให้เป็นระเบียบ, ตัดแต่งพุ่มไม้ให้ได้รูป, เช็ดถูม้านั่งจนสะอาด, นำก้อนหินน้อยใหญ่มาเรียงเป็นแนวเพิ่มความงามให้กับทางเดินในสวน, หาบ้านนกหลังเล็ก ๆ มาแขวนไว้ตามต้นไม้ แล้วเอาอ่างน้ำมาวางกลางสนามเพื่อให้นกมีน้ำสะอาดดื่มกิน เมื่อพระราชินีผู้มีจิตใจอ่อนโยนเสด็จมาเห็นสวนสวยที่มีชีวิตชีวาด้วยเสียงนกร้อง พระองค์ก็ทรงยิ้มและรู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก

วันสุดท้าย นางข้าหลวงมอบหมายให้ลินลาทำของหวานให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงองค์น้อยที่อ้วนตุ้ยนุ้ยเสวยตามสูตรที่ทั้งสองพระองค์ทรงชอบ ลินลาดูสูตรขนมแล้วค่อย ๆ คิด คิดอย่างเอาใจใส่ จากนั้น ลินลาก็ตัดสินใจทำของหวานโดยลดน้ำตาลจากเดิมลงถึงครึ่งหนึ่ง เพราะเธอห่วงสุขภาพของเจ้าชายและเจ้าหญิง ลินลาใช้วิธีจัดแต่งของหวานในจานเป็นรูปสัตว์น่ารัก ๆ เพื่อทำให้เจ้าชายและเจ้าหญิงสนใจในหน้าตาของขนมมากกว่ารสหวานที่ลดน้อยลง ซึ่งเมื่อเจ้าชายกับเจ้าหญิงได้เห็นและชิมขนมที่ลินลาทำ ทั้งคู่ก็นั่งกินขนมแสนน่ารักของลินลากันอย่างมีความสุข

เมื่อถึงวันตัดสินผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสาวใช้ในวัง หญิงสาวหลายคนต่างคาดเดาว่าลินลาคงได้เป็นสาวใช้คนใหม่อย่างแทบไม่ต้องสงสัย แต่ทันทีที่นางข้าหลวงประกาศผลผู้ที่ได้รับเลือก ทุกคนก็ต้องตกใจไปตาม ๆ กัน เพราะผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นสาวใช้คนใหม่ กลับไม่ใช่ลินลาอย่างที่หลาย ๆ คนคิด!

ลินลาผิดหวังที่เธอไม่ได้รับเลือกและหมดโอกาสทำงานหาเงินไปดูแลแม่กับน้อง ๆ แต่ในขณะที่ลินลากำลังสิ้นหวังอยู่นั้น จู่ ๆ พระราชินีก็เสด็จเข้ามาในห้อง แล้วเดินตรงมาหาลินลาโดยที่เธอไม่คาดคิดมาก่อน

เมื่อพระราชินีมายืนต่อหน้าลินลา พระองค์ก็ทรงกล่าวกับสาวน้อยผู้แสนดีว่า “คนที่เอาใจใส่ต่อการทำงานอย่างหนู คงไม่เหมาะที่จะเป็นเพียงสาวใช้ในวังเท่านั้น ชั้นอยากให้หนูมาเป็นพระพี่เลี้ยงของเจ้าชายกับเจ้าหญิง และคอยดูแลทั้งสองพระองค์ให้เติบโตอย่างมีความสุขจะได้ไหม”

ลินลาตกใจมากที่พระราชินีทรงเชื่อใจให้เธอดูแลพระโอรสและพระธิดาที่พระองค์รักดั่งแก้วตาดวงใจ แต่เมื่อพระราชินีทรงยืนยันว่าพระองค์เชื่อในความเอาใจใส่ของลินลาที่น่าจะดูแลเจ้าชายกับเจ้าหญิงได้อย่างวิเศษ ลินลาจึงรู้สึกปลาบปลื้มและรับทำงานให้พระราชินีด้วยความ เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

ในที่สุด ลินลาก็มีงานทำและสามารถดูแลแม่กับน้อง ๆ ได้สมดังที่เธอหวังเอาไว้ ลินลามีความสุขมาก เธอนึกขอบคุณคำสอนของแม่ พร้อมกับสัญญากับตัวเองว่า เธอจะทำงานทุกงานที่ได้รับมอบหมายด้วยความเอาใจใส่ และจะตั้งใจทำงานทั้งหลายอย่างสุดความสามารถ

#นิทานนำบุญ

Posted in เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน : จุดจบของแม่มดน้อย | นิทานนำบุญ

ในโลกของนิทานก่อนนอนที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และจินตนาการ มีบางเรื่องที่ไม่เพียงแต่เล่าเพื่อความบันเทิง แต่ยังปลุกหัวใจให้ตื่นขึ้นด้วยความอ่อนโยนและความดีงาม “จุดจบของแม่มดน้อย” คือหนึ่งในนิทานเช่นนั้น—เรื่องราวของแม่มดน้อยผู้ไม่อาจทำเรื่องชั่วร้ายได้สำเร็จ แต่กลับเลือกทำความดีอย่างไม่ลังเล แม้ต้องแลกด้วยสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็ตาม

นิทานเรื่องนี้ไม่ได้เพียงเล่าถึงการเดินทางของตัวละคร แต่ยังสะท้อนการเดินทางภายในจิตใจของผู้ฟัง จากความเจ็บปวด สู่การให้อภัย และการกลับคืนสู่รากแท้ของความดีงาม ด้วยโครงเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนิทานต่างประเทศอันทรงพลัง ผู้เขียน (นำบุญ นามเป็นบุญ) ได้ถักทอเรื่องใหม่ขึ้นอย่างตั้งใจ เพื่อแสดงความเคารพต่อความทรงจำในวัยเยาว์ และเพื่อมอบนิทานที่อบอุ่นที่สุดในบรรดานิทานแม่มดที่เขาเคยแต่ง

เมื่อนิทานเรื่องนี้ถูกนำมาถ่ายทอดในรูปแบบ “เพลงเล่านิทาน” ความงดงามของเรื่องราวก็ยิ่งทวีคูณ เสียงเพลงและการเล่าเรื่องช่วยเติมอารมณ์ให้ลึกซึ้งขึ้นจากความหนาวเหน็บของภูเขามายา สู่แสงสว่างของดินแดนนางฟ้า ทุกถ้อยคำและท่วงทำนองล้วนสื่อถึงความหวังที่ซ่อนอยู่ในความเศร้า และพลังแห่งความดีที่ไม่เคยสูญหายไปจากโลกใบนี้

ท่านที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

“นานา” แม่มดน้อยกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูโดยแม่มดใจร้าย เติบโตมาท่ามกลางความมืดมนและการเรียนรู้เวทมนตร์เพื่อทำเรื่องชั่วร้าย แม้เธอจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่กลับสอบตกวิชาความชั่ว และไม่เคยทำให้นางแม่มดภูมิใจได้เลย

วันหนึ่ง นานาตัดสินใจออกเดินทางขึ้นภูเขามายาเพื่อนำผลไม้อมตะกลับไปมอบให้นางแม่มดผู้มีพระคุณ ระหว่างทาง เธอได้ช่วยเหลือผู้คนและสัตว์ที่กำลังลำบาก มอบไม้กวาดวิเศษให้เด็กน้อย, ฝากแมวน้อยไว้กับแม่เสือดำที่สูญเสียลูก และสละผ้าคลุมวิเศษให้ครอบครัวกระต่ายที่หนาวเหน็บ

แม้จะเสียสิ่งสำคัญไปทั้งหมด นานายังคงมุ่งมั่นเดินต่อ แต่สุดท้ายเธอก็หมดแรงและสิ้นลมหายใจกลางหิมะหนาวเหน็บ ก่อนถึงยอดเขาเพียงนิดเดียว

ทว่าเรื่องราวยังไม่จบ แสงสีขาวสว่างวาบขึ้น และนานาก็ฟื้นคืนชีพในร่างของเด็กหญิงที่แท้จริง เธอคือทายาทแห่งดินแดนนางฟ้าที่ถูกแม่มดใจร้ายลักพาตัวไปตั้งแต่แบเบาะ การทำความดีของนานาได้พิสูจน์จิตใจอันงดงามของเธอ และนำเธอกลับคืนสู่บ้านเกิดในฐานะนางฟ้าองค์น้อยอีกครั้ง

ในส่วนของเพลง จุดจบของแม่มดน้อย เพลงนี้เล่าเรื่องในแบบเพลงเล่านิทาน คือ เนื้อเพลงเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าอ่านนิทานเสร็จแล้วได้ฟังเพลงต่อ ก็จะรู้สึกหรือคิดภาพตามไปได้ง่ายขึ้น

ท่านที่ชอบเพลงนิทาน-นิทานเพลงในคลิป และอยากอ่านนิทานฉบับเต็ม ผมขอนำลิงค์มาแปะไว้ให้ นิทานฉบับเต็มมีรายละเอียดที่สมบูรณ์กว่าฉบับย่อ หวังว่าทุก ๆ คนจะชอบนิทานเรื่องนี้กันนะครับ

แม่มดน้อยนานาในชุดคลุมดาว ขี่ไม้กวาดพร้อมแมวดำ ฉากหลังเป็นภูเขาและปราสาท – ภาพประกอบนิทาน จุดจบของแม่มดน้อย โดย นำบุญ
Posted in นิทานนำบุญ

ค่าลิขสิทธิ์นิทาน และค่าโฆษณาในเว็บไซต์นิทานนำบุญ

เว็บไซต์นิทานนำบุญจัดทำโดย “นำบุญ นามเป็นบุญ” นักเขียนนิทานอาชีพ ผู้มีผลงานมากกว่า 400 เรื่อง และหนังสือภาพกว่า 30 เล่ม โดยได้รับรางวัลระดับประเทศหลายรายการ รวมถึงรางวัลวรรณกรรมดีเด่นในโครงการวรรณกรรมยอดเยี่ยมในสมัยรัชกาลที่ 9 ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา จากหนังสือเรื่อง คนต่อเทียน

เว็บไซต์นิทานนำบุญเป็นสื่อออนไลน์ที่นำเสนอ “นิทานอบอุ่น” สำหรับเด็ก ครอบครัว และทุก ๆ คน โดยเน้นเนื้อหาที่ปลอดภัย สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์

ตั้งแต่เริ่มเปิดเว็บไซต์จนถึงปัจจุบัน มียอดวิวรวมสะสมมากกว่า 20 ล้านวิว โดยในช่วงเดือนล่าสุด (4 ส.ค. – 2 ก.ย. 2568) มีผู้เข้าชม 165,524 คน และมียอดวิวรวม 462,965 ครั้ง

กลุ่มผู้อ่านหลักของเว็บไซต์ ได้แก่:

  • ครอบครัว (พ่อแม่ลูก)
  • โรงเรียน (ครูและนักเรียน)
  • บุคคลทั่วไปที่รักการอ่านนิทาน เช่น คนที่อ่านนิทานให้แฟนฟังก่อนนอน

เว็บไซต์นิทานนำบุญไม่ได้เป็นเพียงสื่อที่เผยแพร่นิทาน แต่เป็นพื้นที่แห่งความทรงจำที่ดีงามของครอบครัวที่ใช้เวลาก่อนนอนส่งต่อความรักให้ลูกด้วยนิทาน ทั้งยังเป็นแหล่งทรัพยากรที่ครูใช้ในการสอน และเป็นที่พักใจของผู้คนที่ต้องการความอบอุ่นผ่านเรื่องเล่า

ผู้ใช้งานเว็บไซต์ ใช้งานเว็บไซต์ ประมาณ 3 นาที ต่อวัน (ไม่ใช่การเปิดผ่านแล้วออกไป) ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจในการอ่านและการมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาอย่างแท้จริง

ตลอดระยะเวลา 8 ปีของการจัดทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ พบปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์นิทานมากกว่า 400 กรณี และมีการละเมิดที่หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ

การรับมือกับสถานการณ์นี้ ผู้จัดทำจึงจำเป็นต้องปรับรูปแบบของเว็บไซต์ และเริ่มหารายได้ด้วยการขายลิขสิทธิ์นิทาน รวมถึงการขายพื้นที่โฆษณา เพื่อเตรียมทุนในการดำเนินคดีกับผู้ละเมิด และวางรากฐานของเว็บไซต์ให้มีความมั่นคง

นิทานในเว็บไซต์นิทานนำบุญที่แต่งโดย นำบุญ นามเป็นบุญ เป็นงานสร้างสรรค์ที่มีลิขสิทธิ์ ผู้ที่ต้องการนำไปใช้ต้องได้รับอนุญาตและชำระค่าลิขสิทธิ์

อัตราเริ่มต้น: 33,000 บาท/เรื่อง

หมายเหตุ: อัตรานี้อ้างอิงตามค่าลิขสิทธิ์ที่เคยได้รับจากการพิมพ์หนังสือภาพสำหรับเด็กชุด “ตามรอยพระราชา”

เว็บไซต์นิทานนำบุญ มีผู้เข้าชมเฉลี่ยต่อวันประมาณ 6,000 คน และมียอดวิวเฉลี่ยต่อวันกว่า 18,000 ครั้ง โดยในช่วงเวลา 1 เดือน (4 ส.ค. – 2 ก.ย. 2568) เว็บไซต์มีผู้เข้าชมรวมทั้งสิ้น 165,524 คน และมียอดวิวรวมกว่า 462,965 ครั้ง

เพื่อให้การลงโฆษณาของลูกค้ามีความคุ้มค่า ทางเว็บไซต์ได้คัดเลือก “หน้าโฆษณาที่ดีที่สุด” ซึ่งเป็นหน้าที่มีผู้เข้าชมสูงสุด โดยมียอดวิวหลายหมื่นวิวต่อเดือน ได้แก่:

  • หน้าอันดับ 1: 68,000 วิว/เดือน
  • หน้าอันดับ 2: 51,000 วิว/เดือน
  • หน้าอันดับ 3 + 4 (รวมกัน): 31,000 วิว/เดือน

แบนเนอร์โฆษณาจะปรากฏในตำแหน่งด้านบนสุดของหน้าเหล่านี้ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ชมเห็นได้ชัดเจน และมีโอกาสสูงในการสร้างการรับรู้และความสนใจ

Man with glasses working on a laptop, with a website mockup and bar graph in the background representing story licensing and advertising on the Nitan Nam Bun website.
A visual overview of how advertising and story licensing work on the Nitan Nam Bun website — a trusted space for families and educators.

ถ้าพิจารณาค่าโฆษณาเฉลี่ยต่อวันจะพบว่า งบโฆษณา 150 บาท จะเข้าถึงผู้ชมประมาณ 2,267 วิว/วัน และเมื่อผู้ชมใช้เวลาเฉลี่ยเกือบ 3 นาทีในการเข้าใช้งานเว็บไซต์ต่อครั้ง โอกาสในการมองเห็นและสนใจโฆษณาจึงมีสูงมาก

ท่านที่สนใจซื้อลิขสิทธิ์นิทาน หรือต้องการลงโฆษณากับเว็บไซต์นิทานนำบุญ สามารถติดต่อได้ทางกล่องข้อความของเว็บไซต์นิทานนำบุญ

ขอบคุณครับ

อัตราค่าลิขสิทธิ์นิทานและค่าโฆษณาในเว็บไซต์นิทานนำบุญ
ภาพประกอบบทความเกี่ยวกับการจัดการลิขสิทธิ์และโฆษณาในเว็บนิทานอบอุ่น

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานาสอนใจเด็ก, นิทานเด็ก

ฉันชอบเธออย่างที่เธอเป็นมากที่สุด

“แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล มะละกอ มะละกอ มะละกอ

กล้วย กล้วย กล้วย ส้ม ส้ม ส้ม

แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้ม”

แอปเปิ้ลเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ยิ่งถ้าวันไหนได้ปลูกผักในสวน แอปเปิ้ลจะอยู่ในสวนได้ทั้งวัน

กล้วยเป็นเด็กที่ชอบศึกษาหาความรู้ ถ้าวันไหนกล้วยได้อยู่บ้านอ่านหนังสือหรือได้ไปห้องสมุด กล้วยจะมีความรู้สึกเหมือนได้ท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง

เมื่อถึงวันเกิดของลูก ๆ คุณแม่เห็นว่าลูก ๆ เป็นเด็กที่น่ารัก ไม่ดื้อไม่ซน และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์เสมอ คุณแม่จึงซื้อของขวัญเป็นตุ๊กตามาฝากลูกสาวคนละหนึ่งตัว

มะละกอได้ตุ๊กตาหมีที่มีชุดเป็นลายดอกไม้แสนอ่อนหวาน

ส่วนส้มไม่ได้ตุ๊กตาหมีเหมือนพี่ ๆ แต่เธอได้ตุ๊กตาเด็กไม่ใส่เสื้อแถมมีหัวจุก ซึ่งพี่ ๆ พากันร้องเพลงว่า “จ่อกกวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก จ่อก จ่อก กวิก กูลิติแกว็ด” กันอย่างสนุกสนาน

ในเวลาต่อมา เมื่อคุณแม่ไม่อยู่ มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิด

ในขณะเดียวกัน ตุ๊กตาหมีของมะละกอก็ส่งยิ้มให้มะละกอ พอมะละกอเห็น เธอก็ตาโตด้วยความประหลาดใจ แต่เธอก็ยิ้มตอบด้วยความดีใจ ที่จะได้มีเพื่อนเล่น

ส่วนตุ๊กตาเด็กหัวจุกที่ดูคล้ายกุมารทองของส้มนั้น มันรู้สึกว่าตัวของมันไม่น่ารักเหมือนตุ๊กตาตัวอื่น ๆ แถมมันยังไม่มีเสื้อใส่เสียด้วย เมื่อสบโอกาส เจ้าตุ๊กตาก็พยายามส่งยิ้มให้ส้มอย่างเจียมตัว แต่เมื่อส้มมองมาที่มัน ส้มกลับมีสีหน้านิ่งเฉย!

ในวินาทีนั้น ส้มเพิ่งได้สติเพราะมัวแต่คิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ส้มเพิ่งสังเกตเห็นว่าตุ๊กตาของเธอมีชีวิต และมีสีหน้าแปลก ๆ ด้วยเหตุนี้ ส้มจึงพูดกับตุ๊กตาว่า “เธอเป็นอะไรไปเหรอ ปวดห้องน้ำรึเปล่าจ๊ะ?”

ส้มมองเจ้าตุ๊กตาหัวจุกของเธอด้วยความเอ็นดู จากนั้น ส้มก็บอกกับเจ้าตุ๊กตาหัวจุกว่า

เจ้าตุ๊กตาหัวจุกเขินจนหน้าแดงไปหมด เพราะตลอดเวลา มันไม่เคยรู้สึกว่ามันมีค่าสำหรับใครเลย แต่ในวันนี้ มันรู้สึกว่า ตัวมันมีค่าจริง ๆ เมื่อได้อยู่กับเพื่อนใหม่ที่เห็นคุณค่าของมัน

ครั้นเมื่อคุณแม่กลับมา เด็กทุกคนก็ไม่ลืมที่จะไปหอมแก้มคุณแม่ เพราะนอกจากคุณแม่จะมอบของขวัญแสนพิเศษให้กับลูก ๆ ทุกคนแล้ว คุณแม่ยังรู้ใจลูก ๆ ทุกคนอย่างทะลุปรุโปร่ง

ถ้าใครจะหอม ขอฝากหอมด้วยสักสองสามฟอด จากนั้น ก็ขอให้ทุกคนเข้านอนอย่างมีความสุขนะจ๊ะ

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ทุกคนมีคุณค่าในแบบของตัวเอง แม้จะไม่เหมือนใคร
  • การยอมรับความแตกต่างคือพื้นฐานของความรักแท้จริง
  • ความคิดสร้างสรรค์สามารถเปลี่ยนสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งพิเศษ

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง เจ้าชายสัตว์ป่า

วันหนึ่ง  ในขณะที่เจ้าชายสัตว์ป่าเดินชมนกชมไม้อยู่เพลินๆ   จู่ ๆ เจ้าชายก็ได้กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก   เจ้าชายสัตว์ป่ารู้สึกว่ากลิ่นดังกล่าวหอมอย่างบอกไม่ถูก เจ้าชายจึงแอบย่องไปสังเกตการณ์ว่าใครแอบเข้ามาในป่าของพระองค์  แต่ทันทีที่เจ้าชายเห็นว่า ผู้บุกรุกคือเจ้าหญิงที่แสนน่ารัก พระองค์ก็รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างทำให้พระองค์หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  เมื่อได้สติ เจ้าชายจึงรู้ตัวว่าตนเองคง “ตกหลุมรัก” เจ้าหญิงเข้าให้เสียแล้ว  แต่เพราะเจ้าชายสัตว์ป่าเป็นเจ้าชายที่ไม่ใช่มนุษย์  เจ้าชายจึงรู้ดีว่า การจะไปขอแต่งงานกับเจ้าหญิง เป็นเรื่องที่ยากเสียจนไม่น่าจะเป็นไปได้

เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าทราบข่าว  เจ้าชายสัตว์ป่าก็รู้สึกมีความหวัง แต่เจ้าชายรู้ดีว่าตนเองเป็นเจ้าชายสัตว์ป่าที่แตกต่างจากเจ้าชายอื่น ๆ  พระองค์จึงใช้เวลาคิดอยู่หลายวัน เพราะรู้สึกว่าตนอาจไม่เหมาะสมกับเจ้าหญิง แต่ความรักที่เจ้าชายมีต่อเจ้าหญิงมีอานุภาพมาก ในที่สุด เจ้าชายสัตว์ป่าจึงตัดสินใจไปร่วมงานเลือกคู่

เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าไปถึงงาน เจ้าชายพบว่าตนเองมาถึงงานเป็นคนสุดท้าย   ครั้นเมื่อถึงเวลา  พระราชาได้แจ้งกติกาในการเลือกคู่ให้เจ้าชายทุกพระองค์ทราบว่า เจ้าชายที่สามารถนำอัญมณีสายรุ้งจากรังนกที่อยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้ามามอบให้แก่เจ้าหญิงได้  จะมีสิทธิ์ได้พูดคุยทำความรู้จักเพื่อให้เจ้าหญิงตัดสินใจเลือกเป็นคู่ครองต่อไป

ทันทีที่เจ้าชายทั้งหลายได้ฟังเงื่อนไขจากพระราชา  แม้เจ้าชายทุกพระองค์จะรู้ถึงความยากลำบาก  แต่การได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและการได้ครอบครองอาณาจักรต่อจากพระราชาเป็นการเดิมพันที่คุ้มค่า  เจ้าชายเกือบทั้งหมดจึงรีบกระโดดขึ้นขี่ม้าแล้วควบม้าฝ่าพายุฝนที่ตกลงมาพอดี  จนในท้องพระโรงเหลือเจ้าชายเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ยังไม่ออกเดินทางไปไหน ซึ่งนั่นก็คือ เจ้าชายสัตว์ป่า

เจ้าชายสัตว์ป่าส่งยิ้มให้พระราชาด้วยความอ่อนน้อม จากนั้น เจ้าชายสัตว์ป่าจึงตอบพระราชาไปว่า “กระหม่อมใช้ชีวิตอยู่ในป่า ในธรรมชาติ  กระหม่อมจึงได้เรียนรู้ว่า  บางครั้งเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทันที  แต่ในบางกรณี การหยุดรอแทนการเข้าไปปะทะอย่างไรประโยชน์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า  เมื่อกระหม่อมเห็นพายุฝนที่ซัดกระหน่ำลงมา และประเมินถึงภารกิจที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกหลายอย่าง กระหม่อมจึงขอเลือกเก็บแรงไว้ก่อน แล้วใช้เวลานี้วางแผน เตรียมสิ่งที่จำเป็น เพื่อใช้ในการเดินทาง ซึ่งน่าจะดีกว่าการออกไปปะทะกับพายุฝน”

หลังจากที่เจ้าชายสัตว์ป่าเดินทางมาได้ราวครึ่งวัน  จู่ ๆ เจ้าชายก็พบว่ามีเจ้าชายบางพระองค์ที่ออกเดินทางมาก่อน ขี่ม้านำหน้าพระองค์อยู่เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น   ซึ่งหลังจากที่เจ้าชายสัตว์ป่าควบม้าแซงหน้าเจ้าชายเหล่านั้นไปได้   เจ้าชายจึงคาดเดาว่า เจ้าชายบางพระองค์ที่ขี่ม้าฝ่าพายุฝน คงสะบักสะบอมเพราะพลังของธรรมชาติ ทำให้หมดสภาพที่จะเดินทางต่อไปยังจุดหมาย

ณ ลานทางเข้าป่าอาถรรพ์ มีเจ้าชายจำนวนมากที่เนื้อตัวมอมแมม (ซึ่งอาจเกิดจากการขี่ม้าฝ่าพายุฝนแล้วคลุกกับฝุ่นตอนขี่ม้ากลางแดด) กำลังครุ่นคิดว่าจะเดินทางผ่านป่าอาถรรพ์เพื่อมุ่งหน้าไปยังภูเขาเสียดฟ้าในทันที  หรือจะหยุดพักค้างแรมที่ลานทางเข้านี้ก่อนสักหนึ่งคืน แล้วค่อยเดินทางต่อในตอนเช้า

เมื่อเจ้าชายองค์อื่น ๆ เห็น “คู่แข่ง” ออกเดินทางไปก่อน  เจ้าชายทั้งหลายจึงเลิกคิดที่จะพัก  แต่กลับพากันกระโดดขึ้นม้าแล้วควบตามเจ้าชายองค์แรกไป จนลานกว้างเหลือเจ้าชายอยู่เพียงพระองค์เดียว คือ เจ้าชายสัตว์ป่า นั่นเอง

วันรุ่งขึ้น เจ้าชายสัตว์ป่าควบม้าคู่ใจเข้าไปในป่าอาถรรพ์ตั้งแต่เช้าตรู่  ระหว่างทาง เจ้าชายสัตว์ป่าพบร่องรอยการต่อสู้ระหว่างเจ้าชายทั้งหลายกับเหล่าปิศาจปรากฏให้เห็นอยู่เต็มไปหมด ทั้งการได้เห็นกิ่งไม้หักระเนระนาด  การพบเจ้าชายจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ  หรือการได้เห็นม้าหวาดกลัวจนหนีไปซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ ฯลฯ   เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าขี่ม้าพ้นออกมาจากเขตป่าอาถรรพ์และเดินทางต่อจนถึงตีนเขาสูงเสียดฟ้า  พระองค์ก็พบว่ามีเจ้าชายเพียงพระองค์เดียวที่เอาชนะเหล่าปิศาจได้จนหมด (ทำให้เจ้าชายสัตว์ป่าไม่ต้องสู้กับปิศาจเลย) ซึ่งเจ้าชายพระองค์นั้นกำลังควบม้าขึ้นสู่ยอดเขาสูงเสียดฟ้าเพื่อค้นหาอัญมณีสายรุ้ง

ครั้นเมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าเดินทางขึ้นไปถึงยอดเขา เจ้าชายสัตว์ป่าก็พบว่า รังนกจำนวนมากถูกรื้อค้นกระจุยกระจายไปหมด ส่วนลูกนกทั้งหลายต่างก็ส่งเสียงร้องอยู่ที่พื้นอย่างน่าสงสาร เจ้าชายสัตว์ป่ามองเจ้าชายอีกพระองค์ที่รีบเร่งค้นหาอัญมณีจนลืมใส่ใจต่อชีวิตน้อย ๆ ของลูกนกด้วยความรู้สึกสังเวชใจ  บุคคลเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ครองของเจ้าหญิงและคงเป็นพระราชาที่ดีไม่ได้แน่ ๆ  

แม้เจ้าชายสัตว์ป่าจะเห็นว่าเจ้าชายอีกพระองค์ได้เดินทางนำหน้าไปก่อนแล้ว  แต่แทนที่พระองค์จะรีบค้นหา   อัญมณีสายรุ้งบ้าง เจ้าชายสัตว์ป่ากลับเลือกที่จะสร้างรังพักฉุกเฉิน เพื่อให้ลูกนกที่สูญเสียรังไปได้มีที่อยู่ชั่วคราวก่อน  เมื่อภารกิจสำเร็จ พระองค์จึงเริ่มค้นหาอัญมณีสายรุ้ง…แม้จะเป็นการเริ่มต้นค้นหาที่ช้ากว่าเจ้าชายองค์แรกมากก็ตาม

เมื่อเจ้าชายมองไปที่ปากของนก เจ้าชายก็พบอัญมณีที่มีสีถึง 7 สี คือ สีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เจ้าชายแปลกใจ พลางตั้งสติพิจารณาสีของอัญมณีอีกครั้งอย่างรอบคอบ  จนมั่นใจว่าอัญมณีที่นกนำมาให้เป็นอัญมณีสายรุ้งที่พระองค์กำลังค้นหา   เจ้าชายรับอัญมณีมาจากนกด้วยความขอบคุณ  จากนั้น เจ้าชายสัตว์ป่าจึงออกเดินทางลงจากยอดเขาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองของเจ้าหญิง

เจ้าชายผู้เก่งกล้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะพระองค์รู้ดีว่าตนเองคงไปถึงเมืองของเจ้าหญิงช้ากว่าคู่แข่งเป็นแน่  เจ้าชายผู้เก่งกล้าจึงเล่าความจริงให้เจ้าชายสัตว์ป่าฟังว่า “ข้าพเจ้าประมาทเกินไป จึงเอาแต่บุกตะลุยเพื่อหวังจะเอาชนะ จนม้าประจำตัวหมดกำลังไปต่อไม่ไหว  ข้าพเจ้าคงแพ้ในการเลือกคู่ครั้งนี้แล้ว  ท่านไปต่อเถอะ อย่าเสียเวลาอยู่ตรงนี้เลย”

ครั้นเมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าและเจ้าชายผู้เก่งกล้าเดินทางไปถึงปราสาทของเจ้าหญิง พระราชาทรงออกมาต้อนรับเจ้าชายทั้งสองด้วยความกระตือรือร้น  เมื่อเจ้าชายทั้งสองได้พบพระราชา ทั้งคู่จึงนำอัญมณีสายรุ้งจากยอดเขาสูงเสียดฟ้ามอบให้พระราชาพิจารณาทันที

เจ้าชายผู้เก่งกล้าตกใจและรู้สึกผิดที่ตนเองรีบร้อน ไม่ตรวจสอบความถูกต้องให้ดีเสียก่อน  บางที การใช้แต่พละกำลังบุกตะลุยสู้กับอุปสรรค โดยขาดความรอบคอบ อาจบทเรียนที่พระองค์ควรปรับปรุงแก้ไข  ในขณะเดียวกัน    เจ้าชายผู้เก่งกล้าก็รู้สึกว่า เจ้าชายสัตว์ป่าคือเจ้าชายที่เหมาะสมกับเจ้าหญิงจริง ๆ  ทั้งในเรื่องความสามารถและจิตใจอันดีงาม  ดังนั้น เจ้าชายผู้เก่งกล้าจึงยอมรับคำตัดสินของพระราชาแต่โดยดี

หลังจากเจ้าชายสัตว์ป่าและเจ้าหญิงได้ทำความรู้จักนิสัยใจคอกัน และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้กันฟัง  เจ้าหญิงทรงชื่นชมความสามารถของเจ้าชายที่รู้จักบุกเมื่อควรบุก รู้จักหยุดเมื่อควรตั้งรับ  ทั้งยังรักในจิตใจอันดีงามของเจ้าชายที่มีต่อผู้อื่น (ทั้ง ๆ ที่เป็นคู่แข่ง) รวมทั้งความเมตตาที่มีต่อลูกนก ส่วนเจ้าชายสัตว์ป่าก็ทรงมีความสุขเมื่อได้คุยกับเจ้าหญิงที่ตนแอบหลงรัก ทั้งยังสบายใจเมื่อได้รู้ว่า เสด็จแม่ของเจ้าหญิงสืบเชื้อสายมาจากตระกูลนางเงือก  ทำให้เจ้าหญิงมีเลือดผสมที่สามารถอภิเษกสมรสกับเจ้าชายสัตว์ป่าได้

และแล้ว นิทานก็จบลงอย่างมีความสุข

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง พรานเฒ่ากับราชสีห์

นิทานก่อนนอนเรื่อง “พรานเฒ่ากับราชสีห์” เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งและพิมพ์ในนิตยสารขวัญเรือนเมื่อนานมาแล้ว นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานเรื่องหนึ่งที่ผมแต่งด้วยความเคารพที่มีต่อนักแต่งนิทานพื้นบ้านในอดีต จึงนำความประทับใจบางอย่างจากนิทานพื้นบ้านที่ชอบ แล้วนำมาสร้างเป็นนิทานเรื่องใหม่ โดยมีเสน่ห์ของนิทานเรื่องดั้งเดิมเจืออยู่จาง ๆ (นิทานในลักษณะนี้อยู่ในหมวด “นิทานชุด จากแรงบันดาลใจ” ในเว็บไซต์นิทานนำบุญ)

ในปี 2566 ผมตั้งใจจะนำนิทานที่เคยเขียนมาลงเพิ่มเติมในเว็บไซต์นิทานนำบุญ รวมทั้งอยากแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ ให้เด็ก ๆ ได้อ่าน แต่ปีนี้ มีเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้นมาก ผมจึงค่อนข้างท้อและเสียเวลาไปกับการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ผมหวังว่า หากปัญหานี้คลี่คลายลง ผมคงมีกำลังใจและมีเวลาแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ ให้ได้อ่านกันอีก

ขอให้มีความสุขกับการอ่านนิมานเรื่องนี้นะครับ

นิทานเรื่อง พรานเฒ่ากับราชสีห์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพรานเฒ่าคนหนึ่งรอนแรมอยู่ในป่าจนร่างกายอ่อนล้า ทำให้ต้องนั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้ เพื่อเก็บเรี่ยวแรงก่อนเดินทางกลับบ้าน 

แต่ในขณะนั้นเอง  มีราชสีห์หิวโซตัวหนึ่งเกิดได้กลิ่นเนื้อมนุษย์  มันจึงย่องเข้ามาหาพรานเฒ่า โดยหมายที่จะขย้ำเหยื่อของมันกินเป็นอาหาร 

เดชะบุญที่พรานเฒ่าได้ยินเสียงฝีเท้าของราชสีห์ เขาจึงรีบคว้าห่อผ้าสัมภาระ แล้วลุกขึ้นยืนเตรียมรับมือกับภัยที่กำลังย่างกรายเข้ามาหา

เมื่อราชสีห์เห็นว่าเหยื่อของตนคือพรานเฒ่าซึ่งมีห่อผ้าคล้ายปืนอยู่ในมือ  ราชสีห์ก็ตกใจจนเกือบกระโจนกลับเข้าป่า  แต่เนื่องจากราชสีห์กลัวนายพรานจะถือโอกาสยิงมันจากด้านหลัง  ราชสีห์จึงจำต้องยืนเผชิญหน้ากับนายพราน โดยทำได้เพียงแค่คำรามขู่เพื่อคุมสถานการณ์เอาไว้เท่านั้น

ฝ่ายพรานเฒ่าเมื่อเห็นราชสีห์ยืนนิ่งไม่จู่โจมเข้าใส่  เขาจึงคาดเดาได้ว่า ราชสีห์คงกลัวของในห่อผ้าจนไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม   จริง ๆ แล้วของในห่อผ้าไม่ใช่ปืนดังเช่นที่ราชสีห์คิด  แต่มันเป็นเพียงกิ่งไม้ที่พรานเฒ่าเก็บมาทำยารักษาโรค   ด้วยเหตุนี้  พรานเฒ่าจึงได้แต่เฝ้ารอจังหวะเพื่อหาโอกาสตีตัวจากราชสีห์ที่จ้องมองเขาอยู่อย่างไม่วางตา       

ในระหว่างที่ราชสีห์กับพรานเฒ่ายืนคุมเชิงกันอยู่นั้น  มีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้า  และด้วยเหตุที่หมาจิ้งจอกเป็นสัตว์จอมเจ้าเล่ห์  ดังนั้น  มันจึงคิดที่จะหาประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

หลังจากที่หมาจิ้งจอกใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุด มันก็เลือกที่จะเข้าไปประจบประแจงราชสีห์ เพราะมันเห็นว่าราชสีห์แข็งแรงกว่าพรานเฒ่า ซึ่งหากมันสามารถยุให้ราชสีห์จัดการกับพรานเฒ่าได้สำเร็จ  ราชสีห์ก็อาจจะแบ่งเนื้อของพรานเฒ่าให้มันกินด้วยก็เป็นได้

เจ้าหมาจิ้งจอกเริ่มแผนด้วยการเดินเข้าไปตีสนิทกับราชสีห์  จากนั้น มันก็พูดกับราชสีห์ว่า “ท่านเจ้าป่าที่เคารพ  ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเพราะเหตุใดผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่าน จึงปล่อยให้มนุษย์ยืนหยามท่านอยู่เช่นนั้นได้เล่า  ข้าคิดว่าท่านน่าจะจัดการมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย” 

เมื่อราชสีห์ได้ฟังคำของหมาจิ้งจอกจึงตอบว่า “เจ้าไม่เห็นปืนของพรานผู้นั้นหรอกรึ?  หากข้าผลีผลาม…มีหวังตัวของข้าคงเป็นรูโบ๋ด้วยกระสุนปืนเป็นแน่”           

ทันทีที่หมาจิ้งจอกได้ยินเรื่องปืน  มันจึงเปลี่ยนท่าทีด้วยการพูดจาดูหมิ่นราชสีห์ต่าง ๆ นานา  จากนั้น  มันก็รีบเดินเข้าไปประจบพรานเฒ่า เพราะมันเชื่อว่า พรานเฒ่าน่าจะใช้ปืนจัดการกับราชสีห์ได้ไม่ยาก ซึ่งหากมันสามารถยุให้พรานเฒ่ายิงราชสีห์ได้สำเร็จ  มันก็อาจจะได้เนื้อของราชสีห์เป็นรางวัล

“ท่านพรานที่เคารพ  ท่านจะปล่อยเจ้าสิงโตงี่เง่าตัวนั้นเอาไว้ทำไมเล่า  เอาปืนออกมายิงมันเสียเถิด  สัตว์ป่าทั้งหลายจะได้มีชีวิตที่สงบสุขกันเสียที” 

ราชสีห์โกรธมากที่เห็นความกะล่อนของหมาจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์  ในขณะเดียวกัน พรานเฒ่าก็ค้นพบโอกาสที่เขาจะผละจากสถานการณ์อันคับขัน! 

เมื่อหมาจิ้งจอกแสดงให้เห็นว่ามันเป็นสัตว์ที่กลิ้งกลอก…คบไม่ได้   พรานเฒ่าจึงแกล้งมองหมาจิ้งจอกด้วยความระอาใจ  จากนั้น  เขาก็เปรยให้ราชสีห์ได้ยินว่า “ข้าไม่อยากยุ่งกับหมาจิ้งจอกที่มีนิสัยน่ารังเกียจเช่นนี้หรอก  เชิญเจ้าจัดการกับมันเอาเองเถิด”  เมื่อนายพรานพูดจบ  เขาก็แกล้งส่ายหน้า แล้วเดินถอยห่างไปเหมือนเบื่อหน่ายอย่างที่สุด

หมาจิ้งจอกได้แต่ยืนงงเพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์จะลงเอยเช่นนี้  และก่อนที่มันจะตั้งสติได้  ราชสีห์หิวโซซึ่งโกรธจัดก็กระโดดเข้าตระครุบตัวของมัน แล้วจัดการกินมันเป็นอาหาร

ในที่สุด  พรานเฒ่าก็รอดพ้นจากคมเขี้ยวของราชสีห์ได้อย่างหวุดหวิด  ส่วนหมาจิ้งจอกผู้ประสงค์ร้ายก็ได้รับผลกรรมไปอย่างที่ตัวมันเองก็คาดไม่ถึง

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง พ่ออุ๊ยใจดีกับเศรษฐีใจร้าย

นิทานก่อนนอนไทยพื้นบ้านเรื่องนี้ เป็นนิทานที่ดัดแปลงมาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องหนึ่ง ซึ่งพี่นำบุญไม่แน่ใจว่า นิทานดั้งเดิมมาจากประเทศไหน แม้เวลาจะผ่านมาอย่างเนิ่นนาน แต่โครงสร้างของนิทานพื้นบ้านฉบับดั้งเดิมที่เรียบง่ายแต่สนุกสนาน ทำให้การนำมาแต่งเป็นนิทานเรื่องใหม่ ยังคงมีความสนุกไม่แพ้นิทานฉบับดั้งเดิม ภูมิปัญญาในอดีตเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก การเรียนรู้ภูมิปัญญาของคนรุ่นเก่า จะช่วยให้เราต่อยอดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาได้อย่างที่เราอาจไม่เคยนึกถึง ขอให้มีความสุขกับการอ่านนิทานเรื่องนี้นะครับ

นิทานเรื่อง พ่ออุ๊ยใจดีกับเศรษฐีใจร้าย

พ่ออุ๊ยขวัญเมืองเป็นผู้เฒ่าใจดีที่ใครต่อใครพากันรักใครนับถือ  แม้พ่ออุ๊ยจะไม่ใช่คนที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง  แต่ความเอื้ออารีและความใจบุญสุนทานของแกก็เป็นคุณธรรมที่ทำให้ชาวเมืองทุกชั่วรุ่นพยายามที่จะเจริญรอยตามแนวทางที่แกประพฤติปฏิบัติ

อยู่มาวันหนึ่ง  ในขณะที่พ่ออุ๊ยขวัญเมืองกำลังจะเดินทางไปวัดเพื่อฟังธรรมตามปกติ  จู่ ๆ พ่ออุ๊ยก็เหลือบไปเห็นลูกลิงตัวหนึ่งนอนหมดสติอยู่ด้วยอาการบาดเจ็บอย่างน่าสงสารเป็นที่สุด  โดยมิได้ลังเล…พ่ออุ๊ยรีบตรงเข้าไปดูอาการของเจ้าลิงน้อย แล้วพาลิงน้อยกลับบ้านเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บทันที

พ่ออุ๊ยคอยดูแลเจ้าลิงน้อยจนกระทั่งลูกลิงค่อย ๆ มีอาการดีขึ้นเป็นลำดับ และเมื่อลูกลิงหายจากอาการบาดเจ็บ  ลูกลิงก็รีบเผ่นโผนโจนทะยานกลับเข้าป่า และหลังจากนั้นเพียงสามวัน ลูกลิงก็กลับมาหาพ่ออุ๊ยผู้มีพระคุณอีกครั้งโดยคราวนี้มันแบกเอาฟักทองผลใหญ่ติดมือกลับมาด้วย

ลูกลิงตั้งใจที่จะมอบฟักทองผลใหญ่ให้แก่พ่ออุ๊ยแทนคำขอบคุณ  พ่ออุ๊ยดีใจและคิดที่จะนำเอาฟักทองส่วนหนึ่งไปทำแกงบวดเพื่อใส่บาตร แต่แล้วความตั้งใจของพ่ออุ๊ยก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อพ่ออุ๊ยลงมือผ่าฟักทอง และพบว่าเนื้อในของฟักทองผลนั้นแตกต่างจากเนื้อของฟักทองผลอื่น ๆ !

ภายในผลฟักทองที่ลิงน้อยนำมาให้แก่พ่ออุ๊ยอัดแน่นไปด้วยทองคำบริสุทธิ์ที่มีมูลค่าเกินกว่าที่จะประมาณได้  แรกทีเดียว พ่ออุ๊ยตั้งใจที่จะคืนทองคำทั้งหมดให้แก่เจ้าลิงน้อย แต่หลังจากที่ลูกลิงคะยั้นคะยอพ่ออุ๊ยอยู่นาน  ในที่สุด  พ่ออุ๊ยก็ใจอ่อนและยอมเก็บทองคำทั้งหมดเอาไว้กับตัว

อย่างไรก็ตาม  ด้วยอุปนิสัยที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น  ไม่นานนัก  พ่ออุ๊ยแสนดีก็คิดหาวิธีใช้ทองให้เกิดประโยชน์ได้

พ่ออุ๊ยขวัญเมืองเคยได้ยินมาว่า ชาวบ้านที่ยากจนส่วนใหญ่ต้องทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ เพื่อหาเงินไปชำระเป็นดอกเบี้ยให้แก่เศรษฐีหน้าเลือดที่ออกเงินกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงลิ่วอย่างน่ารังเกียจ   ชีวิตของคนที่มีหนี้สินเป็นชีวิตของคนที่เต็มไปด้วยความทุกข์  ด้วยเหตุนี้  พ่ออุ๊ยจึงตัดสินใจปันส่วนทองคำที่แกได้มาให้ชาวบ้านนำมันไปใช้หนี้

เศรษฐีหน้าเลือดถึงกับเดือดดาลที่ชาวบ้านสามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้จนหมด  เศรษฐีนึกสงสัยว่าชาวบ้านหาเงินมากมายมาจากไหน  และหลังจากที่เศรษฐีพยายามค้นหาความจริง  ในที่สุด  เศรษฐีก็ได้รับรู้ถึงที่มาของเงินและเรื่องราวทั้งหมดของเจ้าลิงตัวน้อยกับฟักทองมหัศจรรย์!

เมื่อการช่วยเหลือลูกลิงที่บาดเจ็บส่งผลให้พ่ออุ๊ยขวัญเมืองได้รับทองคำที่มีมูลค่ามหาศาลเป็นการตอบแทน  เศรษฐีหน้าเลือดจึงคิดแผนการร้ายเพื่อให้ตัวเองได้ทองคำแบบเดียวกับที่พ่ออุ๊ยขวัญเมืองได้รับมาบ้าง

เศรษฐีใจร้ายเริ่มแผนด้วยการพรางตัวและดักซุ่มรอลูกลิงอยู่ในป่าลึก  และหลังจากที่ลูกลิงผู้เคราะห์ร้ายเดินผ่านพุ่มไม้ที่เศรษฐีดักซุ่มรออยู่  เศรษฐีผู้มีใจหยาบช้าก็รีบกระโจนออกจากที่ซ่อนแล้วกระหน่ำตีลูกลิงที่น่าสงสารจนกระทั่งลูกลิงหมดสติไป

เศรษฐีใจร้ายฉุดแขนของลูกลิงที่ยังคงหมดสติอยู่แล้วลากลูกลิงกลับไปรักษาที่บ้านอย่างไม่แยแส  และทันทีที่ลูกลิงฟื้นคืนสติ  เศรษฐีก็เอ่ยปากให้ลูกลิงรีบนำฟักทองมหัศจรรย์มาตอบแทนความดีจอมปลอมของเขา  ลูกลิงรู้สึกงุนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แต่ด้วยความที่ลูกลิงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับคนที่มีจิตใจชั่วร้าย  ดังนั้น ลูกลิงจึงพาร่างกายที่แสนจะบอบช้ำกลับเข้าป่าไปอย่างเงียบ ๆ

สามวันผ่านไป  ลิงน้อยกลับมาหาเศรษฐีใจร้ายพร้อมกับฟักทองผลใหญ่ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าฟักทองที่มันเคยนำมาให้พ่ออุ๊ยถึงสองเท่า  เศรษฐีผู้ละโมบถึงกับตาลุกวาวเมื่อได้เห็นผลฟักทองที่ลิงน้อยนำมาฝาก  และหลังจากที่ลิงน้อยลากลับไปแล้ว  เศรษฐีผู้ไม่เคยละอายและเกรงกลัวต่อบาปก็จัดการผ่าฟักทองออกเป็นสองซีก

แทนที่ภายในผลฟักทองจะเป็นทองคำดังที่เศรษฐีหวังเอาไว้  ผลของฟักทองกลับเป็นที่ซ่อนตัวของเหล่าบรรดาสัตว์ร้ายอสรพิษทั้งหลาย นับตั้งแต่งูเงี้ยวเขี้ยวขอไปจนถึงตะเข็บตะขาบ แมงป่องและฝูงต่อแตนที่แสนจะดุร้าย

แม้เศรษฐีจะรอดชีวิตจากพิษของสัตว์ร้ายได้  แต่กว่าที่เขาจะรู้สึกทุเลาเบาบางจากความเจ็บปวดและทรมานที่เขาได้รับ  เขาก็มีเวลาเพียงพอที่จะไตร่ตรองและสำนึกถึงความร้ายกาจที่เขาได้กระทำลงไป

ในที่สุด  เศรษฐีใจร้ายก็กลับตัวเป็นคนดี และเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ก็ได้รับการเล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

#นิทานนำบุญ

………………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง นูอินกับลูกนกดึกดำบรรพ์

นิทานก่อนนอนเรื่อง นูอินกับลูกนกดึกดำบรรพ์ เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งเมื่อวันที่ 16 เดือนตุลาคม 2549 เพื่อส่งไปตีพิมพ์ในนิตยสารขวัญเรือน นับถึงวันนี้ (19 มกราคม 2566) ก็ผ่านมาแล้วประมาณ 17 ปี นานมากเลยนะครับ นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานก่อนนอนสั้น ๆ ผมคิดว่าตัวละครน่าสนใจดี เด็กคนไหนชอบเรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์อาจจะชอบนิทานเรื่องนี้เป็นพิเศษ ขอให้มีความสุขกับการอ่านนิทานนะครับ

นิทานเรื่อง นูอินกับลูกนกดึกดำบรรพ์

          นูอินเป็นเด็กยุคหิน   พ่อกับแม่ของนูอินมีลูกเพียงคนเดียว  นูอินจึงเหงาและอยากจะมีใครสักคนเป็นเพื่อน

          อยู่มาวันหนึ่ง  นูอินพบลูกนกดึกดำบรรพ์ตกลงมาจากรังบนยอดไม้  เจ้าลูกนกได้รับบาดเจ็บ   มันส่งเสียงร้องอย่างน่าสงสาร  นูอินอยากช่วยเจ้าลูกนก  เขาจึงอุ้มลูกนกดึกดำบรรพ์กลับไปรักษาตัวที่ถ้ำซึ่งเป็นบ้านของเขา

          นูอินเฝ้าดูแลลูกนกตั้งแต่เช้าจรดค่ำตามคำแนะนำของพ่อกับแม่  ยิ่งนานวัน…นูอินก็ยิ่งผูกพันกับเจ้าลูกนกมากขึ้นเรื่อย ๆ  จวบจนเมื่อเจ้าลูกนกหายจากอาการบาดเจ็บ  เด็กน้อยผู้โดดเดี่ยวจึงตัดสินใจเลี้ยงลูกนกเอาไว้เป็นเพื่อนของเขา

          ทุก ๆ วัน  นูอินจะคอยหาของกินอร่อย ๆ มาให้เจ้าลูกนกไม่เคยขาด  เขาชอบนำดอกไม้,ฝุ่นสีและลูกปัดหินมาตกแต่งตามเนื้อตัวของเจ้าลูกนกให้ดูสวยโดดเด่น   นูอินมีความสุขมากที่ได้เล่นสนุกกับเจ้าลูกนก  เขามักจะอุ้มเจ้าลูกนกไปเดินเที่ยวในที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ ๆ

          เมื่อผู้คนเห็นลูกนกแสนสวยของนูอิน  พวกเขาก็พากันมาห้อมล้อมและขอแตะเนื้อต้องตัวเจ้าลูกนกเป็นการใหญ่  นูอินไม่อยากให้ใครมายุ่งกับลูกนกที่เขารัก  ดังนั้น นูอินจึงเลิกพาเจ้าลูกนกออกไปเดินเล่นนอกถ้ำอีก

          นับจากวันนั้น  เจ้าลูกนกก็จำต้องอุดอู้อยู่แต่ในถ้ำและคอยเป็นเพื่อนเล่นกับนูอินเพียงผู้เดียว  แม้เจ้าลูกนกจะรักนูอินมาก แต่มันก็ไม่มีความสุขเอาเสียเลย  เพราะจริง ๆ แล้วมันฝันที่จะโผบินไปบนฟากฟ้าเพื่อมีโอกาสกลับไปอยู่กับฝูงนกซึ่งเป็นเพื่อนพ้องพี่น้องของมัน

          ในขณะที่นูอินมีความสุขที่ได้อยู่กับเจ้าลูกนกเพื่อนรัก  แต่เจ้าลูกนกกลับเซื่องซึมไร้ชีวิตชีวาลงเรื่อย ๆ   ไม่ช้าไม่นานนัก  เจ้าลูกนกก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ  จนท้ายที่สุด…มันก็ไม่มีเรี่ยวแรงแม้กระทั่งจะส่งเสียงร้องทักนูอินดังที่มันเคยทำได้

          เมื่อนูอินเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น  เขาจึงเที่ยวหาสมุนไพรดี ๆ มารักษาเจ้าลูกนกอย่างสุดความสามารถ  แต่จนแล้วจนรอด เจ้าลูกนกก็ไม่มีทีท่าว่าจะแข็งแรงขึ้นเลยแม้แต่น้อย  มิหนำซ้ำ มันยังอ่อนแรงลงจนดูเหมือนว่ามันกำลังจะลาจากโลกนี้ไป 

          นูอินห่วงเจ้าลูกนกจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ  พ่อกับแม่ของนูอินเห็นท่าไม่เข้าที  ท่านทั้งสองจึงเชิญคุณหมอให้มาช่วยตรวจอาการของเจ้าลูกนกโดยด่วน

          คุณหมอยุคหินเป็นคุณหมอที่เก่งมาก  คุณหมอตรวจเจ้าลูกนกไม่นานก็รู้ว่ามันป่วยเพราะเหงาและอยากกลับไปอยู่กับพวกของมัน  เมื่อนูอินรู้สาเหตุที่ทำให้เจ้าลูกนกไม่สบาย  เขาก็รู้สึกผิดที่รั้งเจ้าลูกนกเอาไว้โดยไม่ได้คิดถึงจิตใจของมันบ้าง 

          แม้นูอินจะรักเจ้าลูกนกมาก  แต่ความรักคือการให้…ไม่ใช่การครอบครองเป็นเจ้าของ ด้วยเหตุนี้  นูอินจึงกระซิบบอกเจ้าลูกนกทั้งน้ำตาว่า ถ้าลูกนกแข็งแรงขึ้น  เขาจะยอมปล่อยให้เจ้าลูกนกกลับไปใช้ชีวิตอิสระอยู่กับเพื่อนๆ และครอบครัวของมัน

          เจ้าลูกนกดีใจมากที่ได้ฟังคำพูดของนูอิน  เพราะนอกจากมันจะเป็นสิ่งที่เจ้าลูกนกต้องการแล้ว  มันยังแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีที่นูอินมีให้แก่มันอย่างเต็มเปี่ยม  

          หลังจากนั้นไม่นาน  เจ้าลูกนกจึงค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นจนกระทั่งมันมีแรงพอที่จะบินออกไปสู่แผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่ได้

          นูอินมีความสุขที่เห็นเจ้าลูกนกหายป่วย  แม้การปล่อยให้เจ้าลูกนกกลับไปอยู่กับพวกพ้องพี่น้องของมันจะทำให้นูอินรู้สึกเหงา ๆ  แต่เขาก็เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด  เพราะการทำให้เพื่อนมีความสุขเป็นหน้าที่ของเพื่อนที่ดี  

#นิทานนำบุญ

คำถามท้ายเรื่อง : เด็ก ๆ คิดว่า เจ้าลูกนกจะบินจากนูอินไปตลอดกาล หรือ คิดว่ามันจะบินกลับมาหานูอินในวันที่มันคิดถึง ฝากเด็ก ๆ คิดกันเล่น ๆ นะครับ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง นาคน้อยผจญภัย

นิทานก่อนนอนเรื่อง “นาคน้อยผจญภัย” ตอน : เด็กชายกับลูกพญานาค เป็นนิทานก่อนนอนแนวไทยพื้นบ้าน ที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ทดลองแต่งเล่น ๆ ในวันที่ 26 ธันวาคม 2565 หลังจากได้ดูคลิปวิดีโอเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ชื่อว่า ChatGPT

ChatGPT เป็นแชทบ็อทที่สร้างโดยหน่วยงานพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (Open AI) มันมีความสามารถในการตอบคำถามของเราได้แบบอัตโนมัติ แต่การตอบคำถาม จะไม่ใช่การถามคำ-ตอบคำ แต่เป็นการตอบอย่างมีรายละเอียด หนำซ้ำ ตามข่าวยังระบุว่า ChatGPT สามารถช่วยเขียนบทความ เขียนโปรแกรม แต่งกลอน แต่งเพลง และแต่งนิทานได้

เมื่อผมได้ทราบว่า เทคโนโลยี A.I. สามารถแต่งนิทานได้ ผมจึงอยากทดลองแต่งนิทานโดยใช้ ChatGPT ตัวนี้ จะได้รู้ประสิทธิภาพว่า ปัญญาประดิษฐ์จะเก่งกว่าปัญญามนุษย์มากน้อยแค่ไหน

การทดลองแต่งนิทานด้วย ChatGPT ผมได้ทำการทดลองแบบสด ๆ และบันทึกหน้าจอในช่วงที่แต่งนิทานแบบตามเวลาที่ใช้จริง เพื่อให้ผู้ชมเห็นความไวในการโต้ตอบ และลักษณะการถาม-ตอบ รวมถึงการพัฒนานิทานด้วยวิธีนี้ (แต่ช่วงท้ายของคลิปจะมีการย่นเวลาเล็กน้อย ราว 1-2 นาที และมีบางช่วงที่ภาพขาดหายไป ส่วนเสียงในคลิปเป็นการบรรยายภายหลังแล้วนำเสียงมาใส่ในคลิปครับ) การทดลองที่เกิดขึ้น สามารถดูได้จากคลิปต่อไปนี้

ในส่วนของนิทานที่เป็นผลงานจากการทดลอง ผมขอนำมาลงให้อ่านกัน โดยจะลงให้อ่านเป็น 2 แบบ

แบบแรกคือแบบที่ยังไม่ได้ขัดเกลา และ แบบที่สองจะเป็นแบบที่ผมนำนิทานในแบบแรกมาขัดเกลา เรียบเรียงให้น่าอ่านมากขึ้น (ซึ่งแบบที่สองจะนำมาลงอีกครั้งเมื่อทำเสร็จ – ขอหาเวลาก่อนนะครับ)

ถ้าพร้อมจะอ่านนิทานที่ผมร่วมแต่งกับ ChatGPT ก็ลองอ่านกันได้เลยครับ

…………………….

นิทานเรื่อง นาคน้อยผจญภัย (ตอน : เด็กชายกับลูกพญานาค)

กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กผู้ชายที่ยากจนคนหนึ่ง อาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่ริมแม่น้ำโขง

วันหนึ่ง เขาออกไปจับปลาเหมือนปกติ แต่เขาพบลูกพญานาคบาดเจ็บตัวหนึ่ง เขาจึงนำมันมารักษา

เมื่อลูกพญานาคอาการดีขึ้น มันจึงชวนให้เด็กผู้ชายเดินทางไปที่ถ้ำ ซึ่งเป็นทางเข้าแดนบาดาลกับมัน เพื่อหาสาหร่ายสมุนไพรที่เรียกว่า “ไคสวรรค์” เพื่อนำมารักษาอาการบาดเจ็บ”

เมื่อเด็กผู้ชายเดินทางไปยังถ้ำและหาไคสวรรค์พบ จนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บให้ลูกพญานาคได้แล้ว ลูกพญานาคจึงเล่าเรื่องให้ฟังว่า มีพญาครุฑบุกมาที่เมืองบาดาลเพื่อหายารักษาอาการป่วยให้ลูก แต่แทนที่พญาครุฑจะซักถามเรื่องยาที่เหมาะสม มันกลับใช้กำลังทำร้ายพญานาคทั้งหลาย แล้วจับตัวพ่อพญานาคกับแม่พญานาคเอาไว้

ลูกพญานาคอยากแก้ไขเรื่องทั้งหมด และไม่อยากโกรธเคืองเรื่องที่เกิดขึ้น ลูกพญานาคจึงชวนเด็กผู้ชายเก็บไคสวรรค์ซึ่งเป็นยาวิเศษ เพื่อนำไปให้พญาครุฑ

เด็กผู้ชายเห็นดีด้วย เพราะการผูกใจเจ็บ แก้แค้นกันไปมา ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เด็กผู้ชายจึงช่วยลูกพญานาคเก็บไคสวรรค์ แล้วพากันเดินทางไปหาพญาครุฑในเมืองบาดาล พร้อมกับมอบไคสวรรค์ให้

พญาครุฑละอายใจที่ตนเองมุทะลุและทำร้ายเหล่านาค ทั้ง ๆ ที่เหล่านาคไม่ได้คิดร้าย แถมยังมีไมตรีจิต

พญาครุฑจึงขอโทษแล้วรีบปล่อยตัวพ่อพญานาคและแม่พญานาค จากนั้น มันก็สัญญาว่าจะปรับปรุงตัว แล้วขอผูกไมตรี

พ่อพญานาคไม่ได้ถือโกรธ จึงให้อภัยและขอให้รีบนำไคสวรรค์ไปรักษาลูกให้หาย

ในที่สุด เรื่องราวก็จบลง

แต่เรื่องของเด็กผู้ชายกับลูกพญานาคยังไม่จบ เพราะมิตรภาพของพวกเขาเพิ่งเริ่มต้น

โปรดติดตามเรื่องของพวกเขาได้ในนิทานตอนต่อไป

#นิทานนำบุญ

Posted in นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง ความพยายามของชายกลัวน้ำ

ในช่วงที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เขียนหนังสือส่วนตัวเรื่อง “นักเขียนนิทานและวิธีแต่งนิทานของเขา” ซึ่งเอาประสบการณ์ในการแต่งนิทานของตัวเองมาเล่าและอธิบายให้เห็นวิธีคิดนิทานที่ใช้มาตลอดชีวิต ผมได้แต่งนิทานขนาดสั้นเรื่องใหม่ แทรกเป็นตัวอย่างเอาไว้ในเล่ม 2-3 เรื่อง


นิทานก่อนนอนเรื่อง ความพยายามของชายกลัวน้ำ เป็นนิทานเรื่องหนึ่งในนั้น ซึ่งผมเห็นว่าสนุกดี จึงนำมาลงให้อ่านกันในเว็บไซต์นิทานนำบุญครับ แต่นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่แต่งขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างในหนังสือ ผมจึงแต่งแบบกระชับ ไม่ได้ใส่อารมณ์หรือเล่าบรรยากาศมากนัก ถ้าอ่านแล้วไม่ตื่นเต้นเร้าใจ คุณพ่อคุณแม่อาจต้องเติมแต่งรายละเอียดเพื่อสร้างสีสันให้นิทานกันสักหน่อย ซึ่งน่าจะทำได้ไม่ยาก ขอให้มีความสุขกับนิทานนะครับ
 
…….


นิทานเรื่อง ความพยายามของชายกลัวน้ำ

ชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นลูกชาวประมงที่กลัวทะเลมาก เพราะตอนเด็ก ๆ เขาเคยออกทะเลกับพ่อแล้วบังเอิญตกน้ำจนเกือบเสียชีวิต เขาจึงฝังใจกลัวทะเลเป็นที่สุด

วันหนึ่ง เขาพบหญิงสาวมานอนสลบอยู่ที่ชายหาดใกล้ ๆ บ้านของเขา ชายหนุ่มรีบอุ้มหญิงสาวไปปฐมพยาบาลที่บ้าน เมื่อหญิงสาวรู้สึกตัว เธอก็รีบขอบคุณชายหนุ่ม แล้วบอกความจริงว่าเธอคือนางเงือกที่โดนคลื่นใต้น้ำซัดมาจนเกยตื้น เธอยังรู้สึกไม่สบายมาก จึงขอรบกวนชายหนุ่มอีกสักพัก

ชายหนุ่มแปลกใจแต่ยินดีช่วยเงือกสาว และเมื่อทั้งคู่ได้อยู่ใกล้ ๆ ชิดกันต่อมาอีกราว 1 สัปดาห์ ทั้งคู่ก็เริ่มรู้สึกว่า ดอกไม้ที่ชื่อว่าความรักได้เบิ่งบานขึ้นในใจของพวกเขาทั้งสอง

จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อของนางเงือกซึ่งเป็นเจ้าสมุทรไปแปลงกายเป็นมนุษย์แล้วมาตามหาลูกสาวถึงที่บ้านของชายหนุ่ม เมื่อเจ้าสมุทรทราบว่าชายหนุ่มช่วยลูกสาวไว้ และทราบจากลูกสาวว่าทั้งคู่มีใจให้กัน เจ้าสมุทรจึงประทานพรให้ชายหนุ่มสามารถหายใจในน้ำได้เหมือนเงือกและชาวสมุทรทั้งหลาย ทั้งนี้เพื่อให้ชายหนุ่มแวะไปเยี่ยมเงือกสาวได้ตามใจปรารถนา

แต่อนิจจา ชายหนุ่มเป็นคนกลัวทะเล เมื่อเงือกสาวกับเจ้าสมุทรกลับไปแล้ว เขาจึงกลุ้มใจและคิดถึงเงือกสาวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

จนกระทั่งวันหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจทำสิ่งที่เขาไม่เคยกล้าทำ นั่นคือ การใช้ความพยายามเพื่อไปพบหญิงสาวให้ได้

ชายหนุ่มเริ่มจากพยายามฝึกร่างกายให้แข็งแรงด้วยการวิ่งที่ริมหาดทุกวัน จากนั้น เขาก็พยายามฝึกฝนการว่ายน้ำในบ่อน้ำจืดใกล้บ้าน จนเขาว่ายน้ำได้คล่องแคล่วมากขึ้นเรื่อย ๆ

และท้ายสุด เขาก็พยายามเอาชนะความกลัวทะเล ด้วยการก้าวเดินลงไปในทะเล จากตื้นไปลึกและลองว่ายน้ำโต้กระแสคลื่นที่ทำให้เขากลัวจนตัวสั่น

ชายหนุ่มพยายาม พยายาม แล้วก็พยายาม เขาฝึกฝนทุกวัน จนร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ว่ายน้ำได้คล่องมากขึ้น และเอาชนะความกลัวได้มากขึ้น

จนกระทั่งวันหนึ่ง ความพยายามของเขาก็ทำให้เขาพร้อมในการออกเดินทางไปหาเงือกสาว

ในที่สุด ชายหนุ่มก็ใช้พยายามพาตัวเขาไปพบกับเงือกสาวที่เขารักได้สำเร็จ

และแล้ว นิทานก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานนำบุญ