Posted in นิทานสำหรับเด็กและผู้ใหญ่, นิทานฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน, เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน : เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ – เพลงที่ทำให้นิทานอ่อนโยนลง

ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน นักเขียนนิทานระดับโลก เจ้าของผลงานอมตะอย่าง ลูกเป็ดขี้เหร่, เจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว, และ เงือกน้อยผจญภัย ได้ฝากนิทานเรื่อง เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ ไว้เป็นหนึ่งในเรื่องที่สะเทือนใจที่สุดในโลกวรรณกรรมสำหรับเด็ก

นิทานเรื่องนี้สะท้อนความยากลำบากของเด็กยากไร้ในยุโรปยุคเก่า ผ่านภาพของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ต้องขายไม้ขีดไฟท่ามกลางความหนาวเหน็บในคืนวันสิ้นปี แม้เนื้อเรื่องจะหม่นเศร้า แต่ก็เต็มไปด้วยความหวัง ความฝัน และความเมตตา

เพื่อให้เรื่องราวนี้เข้าถึงใจเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ได้อย่างอ่อนโยน ผมจึงแต่งเพลงเล่านิทานขึ้นมา ด้วยเสียงดนตรีที่อบอุ่นและเนื้อเพลงที่ชวนฟัง ผมหวังว่าเพลงนี้จะเป็นสื่อกลางให้พ่อแม่และคุณครูใช้พูดคุยกับเด็ก ๆ เรื่องความเอื้ออาทร ความเห็นอกเห็นใจ และการแบ่งปันให้กับผู้ที่ขาดแคลน

ลองฟังเพลงนี้ แล้วหากใครจำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมเรียบเรียงเนื้อเรื่องแบบย่อไว้ให้ทบทวนความทรงจำด้วยครับ

ในคืนสิ้นปีที่หนาวเหน็บ เด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งเดินขายไม้ขีดไฟตามลำพังบนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ เธอสวมเสื้อเก่า เดินเท้าเปล่า มือกำกล่องไม้ขีดไว้แน่น แม้จะพยายามเรียกผู้คนให้ซื้อ แต่ไม่มีใครสนใจเธอเลย

อากาศวันนั้นหนาวจนแทบทนไม่ไหว เด็กหญิงจึงจุดไม้ขีดไฟก้านหนึ่งเพื่อให้มืออุ่นขึ้น และในแสงไฟนั้น เธอเห็นภาพเตาผิงอันอบอุ่นปรากฏขึ้นตรงหน้า แต่เมื่อไฟดับ ภาพนั้นก็หายไป

เธอจุดไม้ขีดอีกก้าน แล้วเห็นโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยอาหารน่ากิน แต่ภาพนั้นก็หายไปเมื่อไฟดับอีกครั้ง

ไม้ขีดก้านต่อมาพาเธอไปพบต้นคริสต์มาสที่สวยงาม มีของขวัญและเสียงเพลงลอยมาเบา ๆ แต่ภาพนั้นก็เลือนหายไปเช่นกัน

เมื่อเห็นดาวตก เด็กหญิงนึกถึงคำพูดของคุณยายว่า “ถ้าดาวตก แปลว่ามีใครบางคนกำลังจะขึ้นสวรรค์” เธอจุดไม้ขีดอีกก้าน และคราวนี้ คุณยายปรากฏตัวขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

เด็กหญิงดีใจมาก เธอจุดไม้ขีดทีละก้านเพื่อให้คุณยายอยู่กับเธอนานที่สุด จนถึงก้านสุดท้าย แสงไฟเจิดจ้าขึ้น และคุณยายก็โอบกอดเธอไว้ในอ้อมอกอันอบอุ่น

รุ่งเช้า ผู้คนพบเด็กหญิงนั่งสงบอยู่ข้างกำแพง ใบหน้ายิ้มละไม ในมือกำกล่องไม้ขีดไว้แน่น ไม่มีใครรู้เลยว่า ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ เด็กหญิงได้พบคนที่เธอรักที่สุดอีกครั้ง และได้เดินทางไปยังที่ซึ่งไม่มีความหนาว ความกลัว หรือความเดียวดายอีกต่อไป

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงไว้แบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

นิทาน เด็กหญิงขายไม้ขีดกำลังเดินในหิมะ
Posted in นิทานร่วมสมัย, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

“บ้านที่ฟางชี้โด่ชี้เด่ – นิทานอบอุ่นหัวใจที่ปลุกชีวิตให้กลับมามีรอยยิ้ม”

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานสอนใจเด็ก, นิทานสำหรับครอบครัว

ยักษ์ขี้หวงกับสวนแห่งความสุข | นิทานสอนใจสำหรับเด็ก

ภาพประกอบนิทานยักษ์ขี้หวง




Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ทอม ธัมบ์ : เจ้าหนูนิ้วโป้ง

Continue reading “ทอม ธัมบ์ : เจ้าหนูนิ้วโป้ง”
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานแอนเดอร์เซน

นิทานเรื่อง เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ

Continue reading “นิทานเรื่อง เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ”
Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานาสอนใจเด็ก, นิทานเด็ก

ฉันชอบเธออย่างที่เธอเป็นมากที่สุด

“แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล มะละกอ มะละกอ มะละกอ

กล้วย กล้วย กล้วย ส้ม ส้ม ส้ม

แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้ม”

แอปเปิ้ลเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ยิ่งถ้าวันไหนได้ปลูกผักในสวน แอปเปิ้ลจะอยู่ในสวนได้ทั้งวัน

กล้วยเป็นเด็กที่ชอบศึกษาหาความรู้ ถ้าวันไหนกล้วยได้อยู่บ้านอ่านหนังสือหรือได้ไปห้องสมุด กล้วยจะมีความรู้สึกเหมือนได้ท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง

เมื่อถึงวันเกิดของลูก ๆ คุณแม่เห็นว่าลูก ๆ เป็นเด็กที่น่ารัก ไม่ดื้อไม่ซน และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์เสมอ คุณแม่จึงซื้อของขวัญเป็นตุ๊กตามาฝากลูกสาวคนละหนึ่งตัว

มะละกอได้ตุ๊กตาหมีที่มีชุดเป็นลายดอกไม้แสนอ่อนหวาน

ส่วนส้มไม่ได้ตุ๊กตาหมีเหมือนพี่ ๆ แต่เธอได้ตุ๊กตาเด็กไม่ใส่เสื้อแถมมีหัวจุก ซึ่งพี่ ๆ พากันร้องเพลงว่า “จ่อกกวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก จ่อก จ่อก กวิก กูลิติแกว็ด” กันอย่างสนุกสนาน

ในเวลาต่อมา เมื่อคุณแม่ไม่อยู่ มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิด

ในขณะเดียวกัน ตุ๊กตาหมีของมะละกอก็ส่งยิ้มให้มะละกอ พอมะละกอเห็น เธอก็ตาโตด้วยความประหลาดใจ แต่เธอก็ยิ้มตอบด้วยความดีใจ ที่จะได้มีเพื่อนเล่น

ส่วนตุ๊กตาเด็กหัวจุกที่ดูคล้ายกุมารทองของส้มนั้น มันรู้สึกว่าตัวของมันไม่น่ารักเหมือนตุ๊กตาตัวอื่น ๆ แถมมันยังไม่มีเสื้อใส่เสียด้วย เมื่อสบโอกาส เจ้าตุ๊กตาก็พยายามส่งยิ้มให้ส้มอย่างเจียมตัว แต่เมื่อส้มมองมาที่มัน ส้มกลับมีสีหน้านิ่งเฉย!

ในวินาทีนั้น ส้มเพิ่งได้สติเพราะมัวแต่คิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ส้มเพิ่งสังเกตเห็นว่าตุ๊กตาของเธอมีชีวิต และมีสีหน้าแปลก ๆ ด้วยเหตุนี้ ส้มจึงพูดกับตุ๊กตาว่า “เธอเป็นอะไรไปเหรอ ปวดห้องน้ำรึเปล่าจ๊ะ?”

ส้มมองเจ้าตุ๊กตาหัวจุกของเธอด้วยความเอ็นดู จากนั้น ส้มก็บอกกับเจ้าตุ๊กตาหัวจุกว่า

เจ้าตุ๊กตาหัวจุกเขินจนหน้าแดงไปหมด เพราะตลอดเวลา มันไม่เคยรู้สึกว่ามันมีค่าสำหรับใครเลย แต่ในวันนี้ มันรู้สึกว่า ตัวมันมีค่าจริง ๆ เมื่อได้อยู่กับเพื่อนใหม่ที่เห็นคุณค่าของมัน

ครั้นเมื่อคุณแม่กลับมา เด็กทุกคนก็ไม่ลืมที่จะไปหอมแก้มคุณแม่ เพราะนอกจากคุณแม่จะมอบของขวัญแสนพิเศษให้กับลูก ๆ ทุกคนแล้ว คุณแม่ยังรู้ใจลูก ๆ ทุกคนอย่างทะลุปรุโปร่ง

ถ้าใครจะหอม ขอฝากหอมด้วยสักสองสามฟอด จากนั้น ก็ขอให้ทุกคนเข้านอนอย่างมีความสุขนะจ๊ะ

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ทุกคนมีคุณค่าในแบบของตัวเอง แม้จะไม่เหมือนใคร
  • การยอมรับความแตกต่างคือพื้นฐานของความรักแท้จริง
  • ความคิดสร้างสรรค์สามารถเปลี่ยนสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งพิเศษ

Posted in นิทานความรัก, นิทานสอนใจ, นิทานอ่านให้แฟนฟัง

คู่รักกระต่ายน้อย : นิทานความรักก่อนนอนพร้อมข้อคิดที่ควรอ่านให้แฟนฟัง

ภาพที่แคปหน้าจอ ข้อความที่ผู้อ่านส่งมา  เล่าว่าอ่านตั้งแต่ ม.4 จนตอนนี้ขึ้นปี 3 อ่านให้แฟนฟัง

ก่อนที่จะแต่งงงาน  กระต่ายหนุ่มได้จ้างช่างมาสร้างเรือนหอเป็นบ้านแห่งความรักระหว่างมันกับกระต่ายสาวยอดดวงใจ 

เช้าวันต่อมา ในขณะที่กระต่ายหนุ่มยังคงโมโหโทโส  กระต่ายสาวได้จัดการหาสีมาทาแก้ไขจนรอยกระดำกระด่างหายไปจนหมด  เมื่อกระต่ายหนุ่มได้รู้ในภายหลังว่า กระต่ายสาวยอดดวงใจไม่มัวเสียเวลาอยู่กับการโมโหข้ามวัน ติดพันข้ามคืน ที่ไร้ประโยชน์  แต่กระต่ายสาวกลับใช้เวลาดังกล่าวในการแก้ไขปัญหา จนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ  กระต่ายหนุ่มก็รู้สึกชื่นชมกระต่ายสาวและคิดว่ามันเลือกคู่ครองได้ไม่ผิดจริง ๆ

เช้าวันต่อมา ในขณะที่กระต่ายหนุ่มยังคงโมโหโทโส  กระต่ายสาวตัดสินใจเก็บกวาดจัดสวนให้เรียบร้อย แถมยังจัดหาต้นไม้ดอกไม้มาปลูกเพิ่มเติมจนสวนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง  เมื่อกระต่ายหนุ่มได้รู้ในภายหลังว่า กระต่ายสาวยอดดวงใจไม่มัวเสียเวลาอยู่กับการ “โมโหข้ามวัน ติดพันข้ามคืน” ที่ไร้ประโยชน์  แต่กระต่ายสาวกลับใช้เวลาดังกล่าวในการแก้ไขปัญหาจนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ  กระต่ายหนุ่มก็รู้สึกชื่นชมกระต่ายสาวและคิดว่ามันเลือกคู่ครองได้ไม่ผิดจริง ๆ

เมื่อพูดจบ กระต่ายสาวก็ชวนกระต่ายหนุ่มให้ช่วยกันจุดเทียนรอบ ๆ งานแต่ง  จากนั้น  พวกมันก็ชวนให้แขกเข้ามานั่งใกล้ ๆ กันอีกนิด เพราะในงานไม่มีไมโครโฟน   ส่วนเรื่องเพลงหรือดนตรี กระต่ายสาวก็ขอให้กระต่ายหนุ่มและแขกในงานช่วยกันร้องเพลง ซึ่งทั้งหมดให้บรรยากาศภายในงานดูอบอุ่นและทำให้พิธีแต่งงานดำเนินไปได้อย่างน่าประทับใจ

กระต่ายหนุ่มมองกระต่ายสาวด้วยสายตาที่เหมือนต้องการจะบอกว่า “ขอบคุณนะ”  ส่วนกระต่ายสาวซึ่งหันมาสบตากระต่ายหนุ่มพอดี กลับส่งยิ้มให้แล้วทำหน้าทะเล้นใส่  จากนั้น กระต่ายสาวก็บอกกระต่ายหนุ่มว่า “นับจากวันนี้ ถ้าเจออะไรไม่สมดังใจ ก็อย่างเพิ่งโมโหข้ามวัน ติดพันข้ามคืนนะ  เพราะถึงจะขาดสิ่งนู้น ไม่มีสิ่งนี้ แต่ยังไง..เราก็ยังมีกันและกัน ที่จะช่วยกัน แก้ปัญหาในทุก ๆ เรื่องนะ”

“ใช่แล้ว มีกันและกัน” กระต่ายสาวยิ้มเขิน   จากนั้น กระต่ายสาวก็อ้อนกระต่ายหนุ่มว่า “ว่าแต่คืนนี้ เธอลืมอะไรไปรึเปล่า”

กระต่ายหนุ่มยิ้มให้กระต่ายสาวด้วยความรัก  ส่วนกระต่ายสาวก็ยิ้มตอบ พร้อมกับหัวเราะ “แหะ ๆ” ซึ่งไม่มีใครรู้ว่ากระต่ายสาวคิดอะไรอยู่

หมายเหตุ : ถ้าชอบนิทานเรื่องนี้ ฝากกดดูแบนเนอร์โฆษณาอัตโนมัติที่เด้งขึ้นมาด้วยนะครับ (บางคนอาจเห็น บางคนอาจไม่เห็น) มันจะช่วยทำให้เว็บไซต์มีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ ขอบคุณครับ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอน เจ้าบ่าวของหนูสาว – เรื่องของความรักที่อยู่ใกล้กว่าที่คิด

“เจ้าบ่าวของหนูสาว” (The Mouse Bride หรือ The Most Powerful Husband) คือหนึ่งในนิทานพื้นบ้านจีนโบราณที่มีชื่อเสียง และถูกเล่าต่อกันมาอย่างยาวนานทั่วทั้งเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม นิทานเรื่องนี้มีเนื้อหาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เล่าถึงครอบครัวหนูที่แสวงหาว่าที่เจ้าบ่าวที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ให้กับลูกสาวแสนสวย และในการเดินทางตามหาว่าที่เจ้าบ่าว พวกเขาได้เรียนรู้ว่า “พลังที่แท้จริง” อาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด

ในเวอร์ชันนี้ — ซึ่งจัดทำขึ้นใหม่ในรูปแบบ “นิทานก่อนนอน” ที่เหมาะกับเด็ก ๆ สมัยใหม่ — ผู้เขียนได้ปรับภาษาให้นุ่มนวล อ่านง่าย และเพิ่มเสน่ห์ด้วยภาพประกอบแสนน่ารักที่ช่วยกระตุ้นจินตนาการของเด็ก ๆ ทั้งยังคงรักษาแก่นของนิทานต้นฉบับไว้ครบถ้วน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเล่านิทานก่อนนอน เพื่อสร้างบทสนทนาที่อบอุ่นระหว่างพ่อแม่กับลูก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหนูสาวตัวหนึ่งเป็นหนูสาวที่มีหน้าตาน่ารักที่สุดในโลก เมื่อหนูสาวเติบโตถึงวัยที่ควรจะมีครอบครัว พ่อกับแม่ของหนูสาวจึงคิดหาคู่ครองที่เหมาะสมให้แก่ลูกสาวสุดที่รัก

เจ้าบ่าวคนแรกที่พ่อหนูนึกถึงก็คือพระอาทิตย์ผู้มีแสงเจิดจ้า แต่เมื่อพ่อหนูกับแม่หนูไปบอกกับพระอาทิตย์ว่าพวกตนกำลังตามหาเจ้าบ่าวที่เก่งกาจให้ลูกสาว พระอาทิตย์ก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขาให้เหตุผลว่า

“ฉันไม่ใช่ผู้ที่เก่งกาจที่สุดหรอก ก้อนเมฆต่างหากที่เก่งกาจกว่าฉัน ดูสิ..เพียงแค่เมฆลอยผ่านมา มันก็บดบังฉันจนมิด ฉันว่า..เมฆน่าจะเป็นเจ้าบ่าวที่เหมาะสมกว่าฉันนะ”

พ่อหนูกับแม่หนูเห็นจริงตามที่พระอาทิตย์ชี้แจง ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหาก้อนเมฆ เพื่อขอให้ก้อนเมฆแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อก้อนเมฆได้ฟังคำของพ่อหนูกับแม่หนู ก้อนเมฆก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขากล่าวว่า

พ่อหนูกับแม่หนูเห็นจริงตามคำของก้อนเมฆ ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหา สายลมเพื่อขอให้สายลมแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อสายลมได้ฟังคำของพ่อหนูกับแม่หนู สายลมก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขาบอกว่า

พ่อหนูกับแม่หนูเห็นจริงตามคำของสายลม ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหากำแพง เพื่อขอให้กำแพงแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อกำแพงได้ฟังคำของพ่อหนูกับแม่หนู กำแพงก็รีบเอ่ยคำปฏิเสธ โดยเขาบอกว่า

“ฉันไม่ใช่ผู้ที่เก่งกาจที่สุดหรอก ยังมีคนอื่นที่เก่งกาจมากกว่าฉัน ดูสิ..เขาใช้ฟันเจาะตัวฉันจนเป็นรูได้ด้วย ฉันว่า..เขาน่าจะเป็นเจ้าบ่าวที่เหมาะสมมากกว่าฉันนะ”

พ่อหนูกับแม่หนูดูรูที่กำแพง แล้วก็รู้สึกคล้อยตามคำพูดที่ได้ฟัง ดังนั้น พ่อหนูกับแม่หนูจึงรีบไปหา “ผู้เก่งกาจ” เพื่อขอให้เขาแต่งงานกับลูกสาวของตน และมันก็เป็นเรื่องที่เหมือนกับพรหมลิขิต! เพราะผู้เก่งกาจที่กำแพงพูดถึงก็คือหนูหนุ่มคู่รักของหนูสาวนั่นเอง

หนูหนุ่มดีใจมากที่จู่ ๆ พ่อกับแม่ของหนูสาว ก็มาขอให้มันแต่งงานกับหนูสาวที่มันเฝ้าฝันถึง หนูหนุ่มรีบตอบตกลงอย่างไม่มีเงื่อนไข ส่วนพ่อหนูกับแม่หนูก็ดีใจ ที่พวกมันสามารถหาเจ้าบ่าวผู้เก่งกาจ ให้แก่ลูกสาวได้เป็นผลสำเร็จ

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • อย่าตัดสินใครจากฐานะหรือรูปลักษณ์ภายนอก
  • การมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของผู้อื่น คือสิ่งสำคัญยิ่งในความสัมพันธ์
  • ผู้ปกครองควรฟังความรู้สึกของลูก ไม่ใช่ตัดสินใจแทนโดยลำพัง

#นิทานโบราณ

หนูสาวในชุดกระโปรงชมพูยืนเคียงข้างหนูหนุ่มในชุดเอี๊ยมฟ้า ท่ามกลางท้องฟ้าแจ่มใสและแสงอาทิตย์ สื่อถึงความรักและการแต่งงานในนิทาน “เจ้าบ่าวของหนูสาว”
เพลงเล่านิทาน “เจ้าบ่าวของหนูสาว” เพลงสนุก ฟังเพลิน ถ่ายทอดความรักแท้ผ่านตัวละครหนูสาวและหนูหนุ่ม
Posted in ครอบครัว, นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจเด็ก

นิทานก่อนนอนเรื่อง เด็กผู้หญิงแห่งความสุข | สอนเด็กให้เป็นเด็กดีรู้จักแบ่งปัน

นิทานก่อนนอนเรื่องสั้น ๆ เรื่อง “เด็กผู้หญิงแห่งความสุข” เป็นนิทานในยุคแรก ๆ ที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เพิ่งเริ่มแต่งนิทานให้นิตยสารขวัญเรือนได้ไม่นานนัก นิทานเรื่องนี้ มีจุดเริ่มต้นจากชื่อตัวละคร ที่ผมตั้งใจนำชื่อของลูกพี่ลูกน้อง (ลูกครึ่งเกาหลี) ซึ่งเป็นลูกของน้าสาว มาใช้เป็นชื่อตัวละครหลักในเรื่อง คือ มิมิ และ ปิงปิง (แม้เราจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ผมอายุมากกว่าน้อง ๆ เยอะ) เมื่อได้ชื่อตัวละครแล้ว ผมจึงค่อยแต่งเรื่องราวเป็นนิทาน โดยนิทานในยุคแรก ๆ ที่แต่ง ส่วนใหญ่เนื้อเรื่องที่สดใสมาก และมักเป็นนิทานก่อนนอนสั้น ๆ ที่อ่านจบได้ในเวลาไม่นานนัก ผมหวังว่านิทานเรื่องนี้จะทำให้ผู้อ่านยิ้มและนอนหลับฝันดีนะครับ

นิทานเรื่อง เด็กผู้หญิงแห่งความสุข

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีเด็กผู้หญิงแสนดีคนหนึ่งชื่อว่ามิมิ   มิมิเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดู  เธอพูดแต่ถ้อยคำที่อ่อนหวาน  คิดแต่เรื่องที่ดีงาม  และทำทุก ๆ อย่างเพื่อให้คนรอบข้างมีความสุข  ความสุขของมิมิคือการทำให้ทุก ๆ คนมีความสุข  ดังนั้น ทุก ๆ คนจึงมีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้กับมิมิ

เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดของมิมิ  นางฟ้าใจดีนึกอยากจะทำให้เด็กน้อยแสนดีมีความสุขบ้าง  ด้วยเหตุนี้ นางฟ้าจึงมอบดินสอวิเศษให้แก่มิมิหนึ่งแท่ง

ดินสอวิเศษของนางฟ้าเป็นดินสอมหัศจรรย์  ถ้ามิมิอยากได้อะไรเป็นของขวัญ  เพียงแค่มิมิวาดภาพสิ่งนั้นลงในกระดาษ  ฉับพลัน! สิ่งที่มิมิวาดก็จะกลายเป็นจริงขึ้นมาราวกับมีปาฏิหาริย์  นางฟ้าดีใจที่ได้มอบของขวัญให้แก่มิมิ  แต่มิมิกลับกลุ้มใจ เพราะเธอไม่รู้ว่าเธอควรจะวาดอะไรให้ตัวเองดี

มิมิถามปิงปิงน้องชายว่า เธอควรวาดภาพอะไรมากที่สุด  ปิงปิงนิ่งคิด แล้วบอกกับพี่สาวว่า  ถ้าเป็นเขา…เขาคงวาดภาพกระต่ายขาวขนปุยสักคู่หนึ่ง  มิมิรู้ดีว่าปิงปิงชอบกระต่ายขาวมากที่สุด  เธอเองก็ชอบกระต่ายขาวไม่แพ้น้องชาย  แต่ความสุขของมิมิคือการทำให้คนรอบข้างมีความสุข  ดังนั้น มิมิจึงวาดภาพกระต่ายน้อยบ่าวสาวด้วยดินสอวิเศษ  แล้วมอบกระต่ายขาวขนปุยทั้งสองตัวให้แก่ปิงปิงด้วยความรัก

มิมิไปถามโมเมเพื่อนสนิทว่าเธอควรวาดภาพอะไรมากที่สุด  โมเมนิ่งคิด แล้วบอกกับมิมิว่า ถ้าเป็นเธอ…เธอคงวาดภาพหมีแพนด้าที่แสนน่ารักสักตัวสองตัว  มิมิรู้ดีว่าโมเมชอบหมีแพนด้ามากที่สุด  ดังนั้น มิมิจึงวาดภาพหมีแพนด้าคู่รักด้วยดินสอวิเศษ  จากนั้น เธอก็มอบหมีแพนด้าที่แสนน่ารักให้แก่โมเมเป็นของขวัญ

มิมิไปถามคุณลุงกับคุณป้าว่าเธอควรวาดภาพอะไรมากที่สุด  คุณลุงกับคุณป้าซึ่งเป็นเจ้าของสวนผลไม้จึงช่วยกันคิด  จากนั้น ทั้งคู่ก็บอกกับมิมิว่า ถ้าเป็นพวกเขา…พวกเขาคงวาดภาพยีราฟคอยาวเพื่อเอาไว้ขี่เก็บผลไม้ในสวน  มิมิรู้ดีว่าคุณลุงกับคุณป้าอยากได้ยีราฟมากที่สุด  เธอเองก็ชอบยีราฟไม่น้อยไปกว่าท่านทั้งสอง  แต่ความสุขของมิมิคือการทำให้คนรอบข้างมีความสุข  ดังนั้น มิมิจึงวาดยีราฟให้คุณลุงกับคุณป้าคนละหนึ่งตัว

มิมิเที่ยวถามใครต่อใครว่าเธอควรวาดอะไรมากที่สุด  แต่เพราะความสุขของมิมิคือการทำให้คนรอบข้างมีความสุข   ดังนั้น มิมิจึงต้องวาดภาพสัตว์ต่าง ๆ ให้คนนู้นคนนี้จนดินสอวิเศษกุดจุ๊ดจู๋  ไม่เหลือไส้ดินสอพอให้เธอวาดอะไรให้แก่ตัวเองเลยแม้แต่อย่างเดียว

แม้มิมิจะไม่มีอะไรมอบให้แก่ตัวเองเป็นของขวัญ  แต่เด็กน้อยกลับชื่นใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ทำให้คนรอบข้างมีความสุขในวันเกิดของเธอ  มิมินึกขอบคุณนางฟ้าที่มอบดินสออันแสนวิเศษให้แก่เธอในวันแห่งความสุขเช่นนี้  และหนึ่งปีหลังจากนั้น  ผู้คนที่ได้รับของขวัญจากมิมิก็ทำให้มิมิต้องแปลกใจ  เมื่อพวกเขาพร้อมใจกันนำลูกของสัตว์ต่าง ๆ มามอบให้แก่มิมิเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนจิตใจอันดีงามของเด็กน้อยผู้เป็นที่รักของทุก ๆ คน   มิมิมีความสุขมากที่ได้ลูกกระต่าย  ลูกแพนด้า  ลูกยีราฟ  ฯลฯ  มาเป็นเพื่อนเล่นกับเธอ  และแน่นอนว่า…ลูกสัตว์ที่แสนน่ารักเหล่านั้นก็มีความสุขที่ได้มาอยู่ใกล้ ๆ กับเด็กที่มีจิตใจดีงามอย่างมิมิ   และแล้ว…นิทานแห่งความสุขก็จบลงท่ามกลางความสุขของทุก ๆ คน

#นิทานนำบุญ

…………………………..

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอนเด็กไทย: เจ้าหนูธนูวิเศษ นิทานสอนใจแนวแฟนตาซี

เมื่อราว 20 ปีก่อน ผม—นำบุญ นามเป็นบุญ—เริ่มแต่งนิทานเรื่อง เจ้าหนูธนูวิเศษ ด้วยแรงบันดาลใจจากความชอบส่วนตัวที่อยากให้ตัวเอกใช้ “ธนู” เป็นอาวุธ และรู้สึกสนุกกับชื่อที่มีเสียงคล้องจองระหว่างคำว่า “ธนู” กับ “เจ้าหนู” จนกลายเป็นชื่อเรื่องที่ฟังดูเท่ราวกับวรรณกรรมเยาวชนระดับโลก

นิทานเรื่องนี้เริ่มต้นจากชื่อเรื่อง โดยยังไม่มีโครงเรื่องหรือแก่นเรื่องชัดเจน ผมค่อย ๆ ต่อเรื่องราวเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ในสมอง—ต่อถูกก็ไปต่อ ต่อผิดก็ดึงออก แล้วคิดใหม่ จนกลายเป็นนิทานที่มีทั้งความอ่อนโยนและฉากตื่นเต้นเล็ก ๆ คล้ายกับนิทานก่อนนอนเรื่องยาวอย่าง กระต่ายแสงจันทร์

ผมหวังว่าเด็ก ๆ จะชอบนิทานเรื่องนี้ และได้รับทั้งความสนุกและแรงบันดาลใจจากการอ่านครับ

หมายเหตุสำคัญ: นิทานเรื่อง เจ้าหนูธนูวิเศษ ถูกละเมิดลิขสิทธิ์บ่อยครั้ง เช่น การนำไปทำคลิปลง YouTube/TikTok หรือจัดทำเป็น e-book บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต หากตรวจพบการละเมิด จะมีโทษทั้งทางแพ่งและอาญา ผมดำเนินการจริง ฟ้องจริง ขอความกรุณาอย่าทำผิดลิขสิทธิ์ครับ

“ปันปัน” เป็นหลานของช่างทำธนูฝีมือเยี่ยม  พ่อกับแม่ของปันปันฝากเขาเอาไว้กับคุณปู่ก่อนที่พวกท่านจะลาขึ้นสวรรค์ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ  ปันปันเสียใจที่เขาไม่มีโอกาสได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่  แต่เขาก็ยังรู้สึกดีที่อย่างน้อยเขาก็ยังมีคุณปู่ผู้คอยเฝ้าห่วงใยเขาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก

ปันปันรักคุณปู่มาก  และแน่นอน…คุณปู่ก็รักปันปันด้วยเช่นกัน  ปันปันมักจะเฝ้ามองคุณปู่ในขณะที่ท่านกำลังลงมือทำธนูด้วยความตั้งอกตั้งใจ  เมื่อปันปันเห็นคุณปู่ทำธนูอยู่บ่อย ๆ ปันปันจึงนึกอยากที่จะทำธนูขึ้นมาบ้าง  ด้วยเหตุนี้  ปันปันจึงเริ่มต้นฝึกทำธนู  โดยเขามักจะขอให้คุณปู่ช่วยชี้แนะวิธีการทำธนูให้กับเขา

ธนูคันแรกของปันปันเสร็จสมบูรณ์ขึ้นในวันที่ปันปันมีอายุ 7 ขวบ  ปันปันภูมิใจในผลงานการทำธนูของเขามาก  และเมื่อปันปันอายุ 12 ขวบ  ปันปันก็กลายเป็นช่างทำธนูที่มีฝีมือในการทำธนูและยิงธนูไม่เป็นสองรองจากใคร

อยู่มาวันหนึ่ง  คุณปู่ของปันปันล้มป่วยลงด้วยอาการที่น่าเป็นห่วง  คุณหมอประจำหมู่บ้านต่างพากันถอนใจ เพราะอาการป่วยของคุณปู่หนักเกินกว่าที่แพทย์ประจำหมู่บ้านอย่างพวกเขาจะช่วยเยียวยาเอาไว้ได้

คุณหมอท่านหนึ่งได้เปรยกับปันปันว่า  หากได้หมอที่เก่งกว่านี้ อย่างเช่นหมอหลวงของพระราชามาช่วยทำการรักษา คุณปู่ก็น่าจะหายป่วยได้ไม่ยากนัก  ปันปันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เขาคงไม่อาจช่วยให้คุณปู่หายจากอาการป่วยที่แสนทรมานนี้ได้  ใคร ๆ ก็รู้ดีว่าหมอหลวงคือหมอของพระราชา  ดังนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่หมอหลวงจะมารักษาคุณปู่ให้กับเขา

แต่โชคดีก็ยังเป็นของคุณปู่และปันปัน  เพราะในช่วงเวลานั้น  พระราชาได้จัดการแข่งขันการยิงธนูระยะไกลขึ้น  พระราชาทรงประกาศว่า  ผู้ที่ชนะ สามารถขอรางวัลอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา   ปันปันรู้ดีว่าเขาต้องการจะขออะไรจากพระราชา  ปันปันจึงรีบสมัครเข้าร่วมแข่งขันอย่างไม่ลังเล

เหล่าขุนนางต่างพากันหัวเราะเยาะเมื่อเห็นเด็กน้อยอย่างปันปันแบกธนูไม้คันใหญ่ยักษ์เข้ามาสมัครร่วมแข่งขัน  ด้วยความที่มีผู้สมัครเข้าแข่งขันอยู่ก่อนแล้วเพียง 3 คน คือชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลสูง  นักรบร่อนเร่ผู้หยาบช้า  และอัศวินจากประเทศตะวันตก  ดังนั้น  พวกขุนนางจึงยินยอมให้ปันปันเข้าร่วมการแข่งขันได้  โดยพวกเขาจัดลำดับให้ปันปันยิงธนูเป็นคนสุดท้าย เพื่อให้ปันปันกลายเป็นตัวขบขันและสร้างสีสันให้กับงาน!

เมื่อเวลาของการแข่งขันมาถึง  เหล่าทหารก็พากันผูกด้ายแดงเข้ากับปลายลูกธนูของผู้เข้าแข่งขันทั้ง 4 คน  ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนมีโอกาสในการยิงธนูคนละ 1 ครั้ง ซึ่งหากลูกธนูของใครพาด้ายแดงไปได้ไกลที่สุด  บุคคลนั้นก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะของการยิงธนูระยะไกลในครั้งนี้

บุคคลแรกที่ยิงธนูก็คือชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลสูง  ชายหนุ่มคนนี้สามารถยิงธนูไปปักที่ต้นไม้ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลถึง 500 ก้าว   ส่วนนักรบร่อนเร่ผู้หยาบช้านั้น  เขาตั้งใจอวดฝีมือด้วยการยิงธนูทะลุผ่านธนูลูกแรก  แล้วปล่อยให้ลูกธนูทะลวงผ่านต้นไม้ไปตกอยู่ในป่าทึบซึ่งห่างออกไปวัดได้ 1000 ก้าว  แต่ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือฝีมือการยิงธนูขออัศวินจากประเทศตะวันตก  เพราะเขาสามารถยิงธนูข้ามป่าทึบไปตกที่ด้านหลังของภูเขา  ซึ่งเมื่อวัดระยะทางแล้ว  เขาเป็นผู้ที่ยิงธนูได้ไกลที่สุด คือไกลถึง 2000 ก้าวเลยทีเดียว

และแล้ว…โอกาสในการยิงธนูของปันปันก็มาถึง  ผู้คนต่างพากันหัวเราะขบขันเมื่อเห็นเด็กน้อยแบกธนูคันใหญ่ยักษ์เข้ามาตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จุดตั้งต้น  และเมื่อทหารให้สัญญาณในการยิงธนู  ปันปันซึ่งตั้งสมาธิและจรดหัวใจไว้ที่ปลายธนูอยู่แล้ว ก็ค่อย ๆ ทำการเหนี่ยวสายธนูอย่างช้า ๆ  จนคันธนูโค้งเกือบเป็นรูปวงกลม  และเมื่อปันปันปล่อยมือจากสายธนู  คันธนูก็ดีดตัวกลับ  ทำให้ลูกธนูพุงฉับตัดอากาศไปว่องไวราวกับสายลม

ผู้คนต่างพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออก  ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า  เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างปันปันจะสามารถยิงธนูได้แรงถึงเพียงนี้  แต่เมื่อทหารลงมือค้นธนูเพื่อวัดระยะ  สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น   เพราะแทนที่ทหารจะพบลูกธนูตกไกลออกไปอย่างที่หลายคนคาดหวัง  ลูกธนูกลับตกอยู่ในพุ่มไม้ห่างจากจุดตั้งต้นเพียงแค่ 10 ก้าวเท่านั้น!  และนี่คือความจริงที่ปันปันไม่อาจปฏิเสธได้

แต่โชคของปันปันก็ยังคงมีอยู่  เพราะในขณะนั้น  พระราชาผู้ทรงความยุติธรรมได้ชมการแข่งขันมาโดยตลอด  พระราชาทรงสงสัยว่า เพราะเหตุใดลูกธนูของเด็กน้อยจึงพุ่งไปได้ไม่ไกลอย่างที่ควรจะเป็น  ดังนั้น ก่อนที่พระองค์จะทำการประกาศตัวผู้ชนะ  พระองค์จึงสั่งให้ทหารลองวัดความยาวของด้ายสีแดงที่ผูกติดอยู่กับปลายลูกธนูของปันปันให้แน่ใจเสียก่อน

เมื่อทหารลงมือวัดความยาวของด้ายสีแดงโดยเริ่มวัดจากจุดตั้งต้น  ผลที่เกิดขึ้นก็คือ…ทหารต้องเดินวนรอบโลก 1 รอบจนกระทั่งกลับมาที่จุดตั้งต้นอีกครั้ง  แล้วเดินต่อไปอีก 10 ก้าว จึงวัดความยาวทั้งหมดได้ครบถ้วน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ลูกธนูของปันปันพุ่งทะยานไปได้ไกลที่สุด  โดยเดินทางไปรอบโลกภายในเวลาเพียงแค่พริบตาเดียว

ในที่สุด  ปันปันก็ได้เป็นผู้ชนะ และเมื่อพระราชาทรงถามว่า ปันปันต้องการอะไรเป็นรางวัลสำหรับชัยชนะในครั้งนี้  ปันปันจึงรีบตอบพระราชาด้วยความมุ่งมั่นว่า สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือเขาอยากขอยืมตัวหมอหลวงให้ช่วยไปรักษาคุณปู่ผู้เป็นที่รักของเขา

พระราชาทรงชื่นชมในความสามารถและความกตัญญูของปันปัน  ดังนั้น  หลังจากที่หมอหลวงทำการรักษาคุณปู่จนหายป่วยแล้ว  พระราชาจึงรับปันปันกับคุณปู่ให้เข้ามาอยู่ในพระราชวัง โดยมอบหมายให้ปู่หลานทั้งสองคอยฝึกฝนพลธนูของกองทัพให้มีความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ

และแล้ว..นิทานเรื่องนี้ก็จบลงอย่างมีความสุข

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความกตัญญูคือพลังที่ยิ่งใหญ่
  • อย่าตัดสินใครจากรูปลักษณ์ภายนอก
  • ความพยายามและความตั้งใจสามารถพาเราไปไกลกว่าที่ใครคาดคิด

#นิทานนำบุญ