Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานสอนใจ

คำสอนของแม่ – นิทานก่อนนอนสอนใจที่อบอุ่นและให้พลังใจแก่ทุกคน

นิทานต่อไปนี้ เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เคยแต่งลงใน นิตยสารขวัญเรือน และเคยนำลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ นิทานนำบุญ สาขา 2 ซึ่งปัจจุบันได้ปิดตัวไปแล้ว ในโอกาสที่เว็บไซต์ นิทานนำบุญ กำลังปรับปรุงเนื้อหาและยุติการเผยแพร่นิทานบางส่วน ผมจึงอยากนำนิทานเรื่องนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่อาจมีผู้อ่านไม่มากนัก กลับมาเผยแพร่อีกครั้ง

นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพลังใจของเด็กหญิงคนหนึ่งผู้เติบโตมาท่ามกลางความยากลำบาก แต่เธอมีหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ และเชื่อมั่นในคำสอนของแม่ผู้เปี่ยมด้วยความรักและเมตตา เรื่องราวสะท้อนให้เห็นคุณค่าของความมุ่งมั่น ความกตัญญู และความพยายามในการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยใจจริง เป็นนิทานที่จะทำให้ผู้อ่านได้ทั้งความอบอุ่นและแรงบันดาลใจในเวลาเดียวกัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสาวน้อยคนหนึ่งชื่อว่า “ลินลา” ลินลาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ กับแม่และน้องอีกสองคน ครอบครัวของลินลามีฐานะไม่สู้ดีนัก หนำซ้ำ แม่ของลินลาก็อายุมากแล้ว ลินลาจึงอยากหางานทำเพื่อนำเงินมาดูแลแม่และน้อง ๆ ให้มีชีวิตสุขสบายกว่าที่เป็นอยู่

วันหนึ่ง ลินลาทราบข่าวว่า พระราชินีทรงต้องการสาวใช้คนใหม่ไปทำงานในวัง แม้ลินลาจะไม่รู้ระเบียบวิธีในการทำงานรับใช้เจ้านายในวังมาก่อน แต่เธอก็คิดว่า นี่คงเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เธอดูแลแม่กับน้อง ๆ ให้สุขสบายได้เร็วขึ้น ลินลาจึงขออนุญาตแม่ไปสมัครทำงาน ทั้ง ๆ ที่เธอก็แอบหวั่นใจอยู่ไม่ใช่น้อย

ก่อนออกเดินทาง แม่ของลินลากอดลูกสาวคนดีเอาไว้ในอ้อมอก พร้อมกับให้กำลังใจว่า “งานทุกอย่าง…ถ้าเราเอาใจใส่ ก็ไม่มีอะไรยากจนเราทำไม่ได้หรอกนะลูก”

คำสอนของแม่ทำให้ลินลาอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ลินลากอดแม่แนบแน่น จากนั้น เธอก็ลาแม่เพื่อเดินทางไปยังพระราชวังตามที่ตั้งใจเอาไว้

เมื่อมาถึงพระราชวัง ลินลาพบว่ามีสาวชาวบ้านแห่แหนกันมาสมัครเป็นสาวใช้ในวังนับได้เกือบหนึ่งร้อยคน แต่เนื่องจากตำแหน่งที่ว่างมีเพียงตำแหน่งเดียว นางข้าหลวงในวังจึงต้องทดสอบเด็กสาวแต่ละคนว่าจะทำงานได้ดีสักแค่ไหน

งานแรกที่ลินลาต้องลองทำคือการดูแลที่นอนในห้องบรรทมของพระราชา ลินลาไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรบ้าง เธอค่อย ๆ คิด คิดอย่างเอาใจใส่ ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจเริ่มงานด้วยการซักผ้าปูที่นอนจนสะอาดเอี่ยม แล้วนำมันไปตากให้หอมกลิ่นแดด จากนั้น เธอก็นำผ้ามาปูบนเตียงจนเรียบตึง แล้วนำดอกไม้หอมจัดใส่แจกันตั้งไว้ในห้อง เมื่อพระราชาที่เหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวันได้เห็นเตียงที่ปูอย่างเรียบร้อยและหอมสะอาดเป็นพิเศษ แถมยังมีกลิ่นดอกไม้ชวนให้สบายใจ พระองค์จึงนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน

วันต่อมา ลินลาได้รับมอบหมายให้ดูแลสวนดอกไม้ของพระราชินี ในตอนแรก ลินลาไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรบ้าง เธอค่อย ๆ คิด คิดอย่างเอาใจใส่ ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจเริ่มงานด้วยการตัดหญ้าให้เป็นระเบียบ, ตัดแต่งพุ่มไม้ให้ได้รูป, เช็ดถูม้านั่งจนสะอาด, นำก้อนหินน้อยใหญ่มาเรียงเป็นแนวเพิ่มความงามให้กับทางเดินในสวน, หาบ้านนกหลังเล็ก ๆ มาแขวนไว้ตามต้นไม้ แล้วเอาอ่างน้ำมาวางกลางสนามเพื่อให้นกมีน้ำสะอาดดื่มกิน เมื่อพระราชินีผู้มีจิตใจอ่อนโยนเสด็จมาเห็นสวนสวยที่มีชีวิตชีวาด้วยเสียงนกร้อง พระองค์ก็ทรงยิ้มและรู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก

วันสุดท้าย นางข้าหลวงมอบหมายให้ลินลาทำของหวานให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงองค์น้อยที่อ้วนตุ้ยนุ้ยเสวยตามสูตรที่ทั้งสองพระองค์ทรงชอบ ลินลาดูสูตรขนมแล้วค่อย ๆ คิด คิดอย่างเอาใจใส่ จากนั้น ลินลาก็ตัดสินใจทำของหวานโดยลดน้ำตาลจากเดิมลงถึงครึ่งหนึ่ง เพราะเธอห่วงสุขภาพของเจ้าชายและเจ้าหญิง ลินลาใช้วิธีจัดแต่งของหวานในจานเป็นรูปสัตว์น่ารัก ๆ เพื่อทำให้เจ้าชายและเจ้าหญิงสนใจในหน้าตาของขนมมากกว่ารสหวานที่ลดน้อยลง ซึ่งเมื่อเจ้าชายกับเจ้าหญิงได้เห็นและชิมขนมที่ลินลาทำ ทั้งคู่ก็นั่งกินขนมแสนน่ารักของลินลากันอย่างมีความสุข

เมื่อถึงวันตัดสินผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสาวใช้ในวัง หญิงสาวหลายคนต่างคาดเดาว่าลินลาคงได้เป็นสาวใช้คนใหม่อย่างแทบไม่ต้องสงสัย แต่ทันทีที่นางข้าหลวงประกาศผลผู้ที่ได้รับเลือก ทุกคนก็ต้องตกใจไปตาม ๆ กัน เพราะผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นสาวใช้คนใหม่ กลับไม่ใช่ลินลาอย่างที่หลาย ๆ คนคิด!

ลินลาผิดหวังที่เธอไม่ได้รับเลือกและหมดโอกาสทำงานหาเงินไปดูแลแม่กับน้อง ๆ แต่ในขณะที่ลินลากำลังสิ้นหวังอยู่นั้น จู่ ๆ พระราชินีก็เสด็จเข้ามาในห้อง แล้วเดินตรงมาหาลินลาโดยที่เธอไม่คาดคิดมาก่อน

เมื่อพระราชินีมายืนต่อหน้าลินลา พระองค์ก็ทรงกล่าวกับสาวน้อยผู้แสนดีว่า “คนที่เอาใจใส่ต่อการทำงานอย่างหนู คงไม่เหมาะที่จะเป็นเพียงสาวใช้ในวังเท่านั้น ชั้นอยากให้หนูมาเป็นพระพี่เลี้ยงของเจ้าชายกับเจ้าหญิง และคอยดูแลทั้งสองพระองค์ให้เติบโตอย่างมีความสุขจะได้ไหม”

ลินลาตกใจมากที่พระราชินีทรงเชื่อใจให้เธอดูแลพระโอรสและพระธิดาที่พระองค์รักดั่งแก้วตาดวงใจ แต่เมื่อพระราชินีทรงยืนยันว่าพระองค์เชื่อในความเอาใจใส่ของลินลาที่น่าจะดูแลเจ้าชายกับเจ้าหญิงได้อย่างวิเศษ ลินลาจึงรู้สึกปลาบปลื้มและรับทำงานให้พระราชินีด้วยความ เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

ในที่สุด ลินลาก็มีงานทำและสามารถดูแลแม่กับน้อง ๆ ได้สมดังที่เธอหวังเอาไว้ ลินลามีความสุขมาก เธอนึกขอบคุณคำสอนของแม่ พร้อมกับสัญญากับตัวเองว่า เธอจะทำงานทุกงานที่ได้รับมอบหมายด้วยความเอาใจใส่ และจะตั้งใจทำงานทั้งหลายอย่างสุดความสามารถ

#นิทานนำบุญ

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานพื้นบ้าน, เพลง, เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน : อึน้อยปราบยักษ์ – นิทานพื้นบ้านไทยผ่านบทเพลง 3 สไตล์

นิทานพื้นบ้านไทยเรื่อง “อึน้อยปราบยักษ์” เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่สะท้อนภูมิปัญญาและจินตนาการของคนไทยได้อย่างน่ารักและแปลกตา เรื่องราวของอึก้อนน้อย ๆ ที่ใช้ไหวพริบและความกล้าหาญในการเอาชนะยักษ์ใหญ่ ไม่ใช่ด้วยพละกำลัง แต่ด้วยความสามัคคี เป็นนิทานที่มีทั้งความสนุก ความตื่นเต้น และแฝงข้อคิดอย่างแยบคาย

นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในแนว “นิทานสอนใจ” ที่ผสมผสานความแฟนตาซีเข้ากับบทเรียนชีวิตอย่างลงตัว เด็ก ๆ ฟังแล้วสนุก ผู้ใหญ่ฟังแล้วยิ้ม และเมื่อถูกนำมาเล่าใหม่ผ่านบทเพลง ก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้เรื่องราวมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น

ความทรงจำวัยเด็กที่กลับมาอีกครั้ง

ตอนเด็ก ๆ ผมชอบดูรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กมาก โดยเฉพาะรายการที่มีเพลงประกอบน่ารัก ๆ เพลงเหล่านั้นมักจะติดหูจนผมร้องตามได้ทุกคำ เป็นความสุขเล็ก ๆ ที่อบอวลอยู่ในความทรงจำเสมอมา

เมื่อมีโอกาสได้ทำเพลงเล่านิทานสำหรับเรื่อง “อึน้อยปราบยักษ์” ความรู้สึกแบบนั้นก็กลับมาอีกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปนั่งหน้าทีวี ร้องเพลงไปพร้อมกับตัวละครในจอ ความสุขนั้นไม่เคยจางหาย และครั้งนี้ ผมได้เป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง

เบื้องหลังการสร้างเพลงเล่านิทาน

ผมทำเพลงสำหรับนิทานเรื่องนี้ไว้มากกว่า 10 เวอร์ชั่น ทดลองทั้งแนวเสียงร้อง จังหวะ และอารมณ์ของเพลง เพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่องและผู้ฟังหลากหลายกลุ่ม ส่วนตัวคิดว่า ถ้าทำต่อไปเรื่อย ๆ เพลงก็คงจะสมบูรณ์ขึ้นอีก แต่เมื่อได้ฟังเวอร์ชั่นที่ทำไว้แล้ว ก็ต้องยอมรับว่า หลายเวอร์ชั่นดีพอที่จะเผยแพร่ได้ทันที

บางเวอร์ชั่นมีเสน่ห์เฉพาะตัวจนเลือกไม่ลงว่าจะตัดออกเวอร์ชั่นไหน สุดท้ายผมตัดสินใจไม่ทำเพิ่มอีก แต่เลือกเวอร์ชั่นที่ชอบที่สุดมาให้ฟังกัน 3 แบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เพลง 3 สไตล์ที่คุณต้องลองฟัง

เวอร์ชั่นกล่อมนอนเสียงร้องน่ารัก เพลงนี้เหมาะกับเด็ก ๆ ที่ไม่อยากฟังอะไรโลดโผนจนเกินไป เสียงร้องน่ารักและดนตรีกุ๊งกิ๊ง เหมือนนิทานก่อนนอนที่เล่าเบา ๆ ให้หลับฝันดี

เวอร์ชั่นนักร้องชาย 2 แบบต่อกัน ผมนำสองเวอร์ชั่นที่ใช้เสียงนักร้องชายสองเพลงมาต่อกัน ผู้ฟังจะเห็นได้ถึงความแตกต่างในอารมณ์และการนำเสนอ แม้จะเป็นเพลงเดียวกัน แต่เสน่ห์ของแต่ละเพลงก็ทำให้รู้สึกไม่เหมือนกันเลย

เวอร์ชั่นแนวละครเวที เวอร์ชั่นนี้มีความเป็น “ละครเวที” นิด ๆ แต่ยังคงความเป็นเพลงสำหรับเด็กอยู่ครบถ้วน มีการเล่าเรื่องผ่านเสียงร้องและดนตรีที่ชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ เพลงนี้ควรฟังให้จบ เพราะเด็ดจริง ๆ จนถึงหยดสุดท้าย

ใครที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

นิทานก่อนนอนเรื่อง “อึน้อยปราบยักษ์” (เวอร์ชั่นย่อ)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียักษ์เกเรตัวใหญ่ที่ชอบรังแกผู้คนและสัตว์ต่าง ๆ จนทุกชีวิตในหมู่บ้านต่างหวาดกลัว วันหนึ่งเจ้ายักษ์ประกาศว่าจะจับเด็ก ๆ ไปเป็นคนรับใช้ ทำให้คุณยายใจดีในหมู่บ้านเป็นห่วงหลานมาก จึงสวดมนต์ขอพรให้พระคุ้มครอง แม้จะไม่รู้บทสวดจริง ๆ แต่คุณยายก็ท่องตามนิทานที่เคยฟังด้วยใจหวังดี

ขณะนั้นเอง อึน้อยกองหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ ได้เห็นความกังวลของคุณยาย จึงตัดสินใจออกเดินทางไปปราบยักษ์ แม้อึจะไม่มีชีวิต แต่ก็มีความกล้าและสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้หลากหลาย ระหว่างทาง อึน้อยได้พบกับปลาดุก ตะขาบ แมงป่อง และนกแสก ซึ่งต่างก็เคยถูกยักษ์รังแกมาก่อน จึงขอร่วมภารกิจปราบยักษ์ด้วย

เมื่อถึงบ้านของเจ้ายักษ์ ทั้งห้าตัวช่วยวางแผนกันอย่างรอบคอบ พอตกกลางคืน แผนการก็เริ่มขึ้น:

  • ตะขาบกัดหน้ายักษ์
  • แมงป่องต่อยมือ
  • อึน้อยทำให้ยักษ์ลื่นล้ม
  • ปลาดุกกัดมือในโอ่งน้ำ
  • นกแสกจิกยักษ์ในความมืด

เจ้ายักษ์ตกใจและเจ็บปวดจนร้องขอชีวิต พร้อมสำนึกผิดและสัญญาว่าจะไม่รังแกใครอีก ทุกตัวช่วยจึงยอมให้อภัย และจากวันนั้นเป็นต้นมา เจ้ายักษ์ก็กลายเป็นยักษ์ที่สงบเสงี่ยม ไม่เบียดเบียนใครอีกเลย

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง อึน้อยปราบยักษ์ ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงแบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, วรรณกรรมไทย

แก้วหน้าม้า: นิทานพื้นบ้านไทยที่กล้าท้าทายความงามและโชคชะตา

นิทานพื้นบ้านไทยเป็นมากกว่าความบันเทิงสำหรับเด็ก เพราะมันคือกระจกสะท้อนค่านิยม ความเชื่อ และบทเรียนชีวิตที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน เรื่องราวเหล่านี้มักแฝงด้วยความหวัง ความกล้าหาญ และการยอมรับในความแตกต่างของมนุษย์ เช่นเดียวกับนิทานเรื่อง “แก้วหน้าม้า” ที่แม้จะมีฉากหลังเป็นโลกแฟนตาซี แต่กลับพูดถึงประเด็นร่วมสมัยอย่างการไม่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ และการต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเองอย่างทรงพลัง

“แก้วหน้าม้า” เป็นนิทานพื้นบ้านที่มีต้นกำเนิดจากภาคกลางของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยมีทั้งฉบับร้อยกรองและบทละครนอกที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ทรงนิพนธ์ไว้ ตัวละครเอกคือหญิงสาวผู้มีใบหน้าเหมือนม้า แต่มีสติปัญญาและความกล้าหาญเหนือใคร เธอใช้ไหวพริบและความสามารถในการต่อสู้เพื่อพิสูจน์คุณค่าของตนเอง แม้จะถูกดูหมิ่นจากรูปลักษณ์ภายนอกก็ตาม นิทานเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบละครโทรทัศน์ การ์ตูน และหนังสือสำหรับเด็ก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองปางทองอันสงบสุข มีพระราชาผู้ทรงธรรม และพระมเหสีผู้เปี่ยมเมตตา ทั้งสองมีพระโอรสองค์เดียวชื่อ “พระปิ่นทอง” เป็นชายหนุ่มรูปงาม ฉลาดหลักแหลม และมีจิตใจแน่วแน่

เมื่อพระปิ่นทองเจริญวัย พระองค์ขอออกเดินทางไปเรียนรู้โลกกว้าง พระราชาและพระมเหสีจึงทรงอนุญาต พร้อมส่งข้าราชบริพารติดตามไปด้วย

พระปิ่นทองเดินทางไกล ผ่านเมือง ผ่านป่า ผ่านภูเขา จนมาถึงป่าลึกแห่งหนึ่ง ที่มีฤๅษีผู้ทรงฤทธิ์อาศัยอยู่ ฤๅษีเห็นพระปิ่นทองเป็นชายหนุ่มมีบุญบารมี จึงต้อนรับด้วยความเมตตา

ฤๅษีเล่าเรื่องของหญิงสาวผู้หนึ่งให้พระปิ่นทองฟัง หญิงสาวคนนั้นชื่อ “แก้วหน้าม้า” นางมีใบหน้าคล้ายม้า ดูแปลก ดูอัปลักษณ์ แต่ฤๅษีบอกว่า นางมีจิตใจดีงาม ฉลาดหลักแหลม และมีความสามารถพิเศษในการแปลงกาย

เมื่อพระปิ่นทองได้พบแก้วหน้าม้า พระองค์ตกใจในรูปลักษณ์ของนาง แต่เมื่อได้พูดคุย ได้ฟัง ได้เห็นความสามารถ พระองค์ก็เริ่มชื่นชมในความเฉลียวฉลาดและความกล้าหาญของนาง

แล้ววันหนึ่ง…เกิดเหตุร้าย พระปิ่นทองถูกโจรจับตัวไปขังไว้ในถ้ำลึกกลางป่า ข้าราชบริพารต่างพากันหนีด้วยความกลัว เหลือเพียงแก้วหน้าม้าเท่านั้นที่ไม่ยอมทิ้งพระองค์

แก้วหน้าม้าออกตามหา ใช้ความรู้จากฤๅษี ใช้ไหวพริบ ใช้ความกล้า นางปลอมตัวเป็นหญิงชราเร่ร่อน เดินทางไปยังหมู่บ้านใกล้ถ้ำ แกล้งทำเป็นคนขายสมุนไพรเพื่อสืบข่าว

เมื่อรู้ตำแหน่งถ้ำแล้ว นางก็วางแผนอย่างแยบยล นางแกล้งทำเป็นหญิงแก่ป่วยหนัก ขอให้โจรช่วยพาไปพักในถ้ำ แล้วใช้ยาสลบที่เตรียมไว้ผสมในอาหารให้โจรกิน โจรหลับหมด! นางรีบปลดโซ่ตรวนพระปิ่นทอง และพาหนีออกมาอย่างปลอดภัย

พระปิ่นทองซาบซึ้งในน้ำใจและความกล้าหาญของแก้วหน้าม้า พระองค์กล่าวว่า “แม้เจ้าจะมีหน้าตาไม่งาม แต่ใจเจ้ากลับงามยิ่งกว่าหญิงใดในแผ่นดิน” พระองค์จึงรับนางเป็นชายา แม้ข้าราชบริพารจะคัดค้านก็ตาม

เมื่อกลับถึงเมืองปางทอง พระราชาและพระมเหสีเห็นชายาของพระโอรสมีหน้าตาอัปลักษณ์ก็รู้สึกผิดหวัง และไม่ยอมรับนางในฐานะสะใภ้ พระปิ่นทองจึงพานางไปอยู่ในตำหนักส่วนตัวอย่างเงียบ ๆ

แก้วหน้าม้าแม้จะถูกดูหมิ่นจากผู้คน แต่ก็ไม่เคยโกรธเคือง นางยังคงทำหน้าที่ภรรยาอย่างดี คอยดูแลพระปิ่นทองด้วยความรักและซื่อสัตย์

วันหนึ่ง พระปิ่นทองต้องออกศึกกับเมืองข้างเคียง ซึ่งมีแม่ทัพผู้เก่งกล้าและใช้เวทมนตร์ในการรบ แก้วหน้าม้าจึงอาสาแปลงกายเป็นหญิงงามชื่อ “มณี” โดยใช้เวทมนตร์จากฤๅษี

นางปลอมตัวเป็นหญิงผู้มีความรู้ด้านการทูต เดินทางไปยังเมืองศัตรูเพื่อเจรจา ใช้วาทศิลป์และไหวพริบหลอกให้แม่ทัพศัตรูหลงรัก และยอมเปิดเผยแผนการรบทั้งหมด

เมื่อได้ข้อมูลสำคัญ นางมณีก็รีบกลับมาบอกพระปิ่นทอง พระองค์จึงวางแผนรับมืออย่างรอบคอบ และสามารถเอาชนะศึกได้อย่างงดงาม

พระราชาและพระมเหสีเห็นหญิงงามผู้นี้ก็เกิดความรักใคร่ และอยากให้เป็นสะใภ้ โดยไม่รู้ว่านางคือแก้วหน้าม้าในร่างใหม่

พระปิ่นทองรู้ความจริง แต่ไม่กล้าบอกผู้ใด จนกระทั่งวันหนึ่ง พระองค์เผลอพูดออกมา ทำให้พระราชาและพระมเหสีตกใจ และรู้สึกละอายใจ

พระราชาทรงขอขมาแก้วหน้าม้า และยอมรับนางเป็นสะใภ้อย่างเป็นทางการ พร้อมจัดพิธีเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่

แก้วหน้าม้าในร่างมณีจึงเปิดเผยตัวตน และกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยโกรธเคืองผู้ใด เพราะข้ารู้ดีว่า ความดีจะปรากฏเมื่อถึงเวลา”

นับแต่นั้นมา นางแก้วหน้าม้าก็ได้รับความเคารพจากทุกคนในเมืองปางทอง นางใช้ความสามารถช่วยเหลือบ้านเมืองในหลายด้าน ทั้งการปกครอง การวางแผน และการดูแลประชาชน

พระปิ่นทองก็รักและเคารพนางมากขึ้นทุกวัน และเมื่อวันหนึ่ง นางขออนุญาตกลับไปเยี่ยมฤๅษีผู้เลี้ยงดู นางก็ได้รับพรและของวิเศษจากฤๅษี เพื่อใช้ในการช่วยเหลือบ้านเมืองต่อไป

และนับจากวันนั้น…เมืองปางทองก็สงบสุขยิ่งกว่าเดิม เพราะมีหญิงผู้หนึ่ง ที่แม้จะมีหน้าตาไม่งาม แต่มีหัวใจที่งดงามที่สุดในแผ่นดิน

  • แม้รูปลักษณ์จะไม่งดงาม แต่หัวใจที่ดีงามจะเปล่งประกายเมื่อถึงเวลา
  • อย่าตัดสินคุณค่าของใครจากรูปลักษณ์ภายนอก เพราะสิ่งงดงามที่สุดอาจซ่อนอยู่ในสิ่งที่คนมองข้าม
  • ความเมตตาและการให้อภัยคือหนทางสู่การยอมรับและความสงบสุข


Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอนเด็กไทย: เจ้าหนูธนูวิเศษ นิทานสอนใจแนวแฟนตาซี

เมื่อราว 20 ปีก่อน ผม—นำบุญ นามเป็นบุญ—เริ่มแต่งนิทานเรื่อง เจ้าหนูธนูวิเศษ ด้วยแรงบันดาลใจจากความชอบส่วนตัวที่อยากให้ตัวเอกใช้ “ธนู” เป็นอาวุธ และรู้สึกสนุกกับชื่อที่มีเสียงคล้องจองระหว่างคำว่า “ธนู” กับ “เจ้าหนู” จนกลายเป็นชื่อเรื่องที่ฟังดูเท่ราวกับวรรณกรรมเยาวชนระดับโลก

นิทานเรื่องนี้เริ่มต้นจากชื่อเรื่อง โดยยังไม่มีโครงเรื่องหรือแก่นเรื่องชัดเจน ผมค่อย ๆ ต่อเรื่องราวเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ในสมอง—ต่อถูกก็ไปต่อ ต่อผิดก็ดึงออก แล้วคิดใหม่ จนกลายเป็นนิทานที่มีทั้งความอ่อนโยนและฉากตื่นเต้นเล็ก ๆ คล้ายกับนิทานก่อนนอนเรื่องยาวอย่าง กระต่ายแสงจันทร์

ผมหวังว่าเด็ก ๆ จะชอบนิทานเรื่องนี้ และได้รับทั้งความสนุกและแรงบันดาลใจจากการอ่านครับ

หมายเหตุสำคัญ: นิทานเรื่อง เจ้าหนูธนูวิเศษ ถูกละเมิดลิขสิทธิ์บ่อยครั้ง เช่น การนำไปทำคลิปลง YouTube/TikTok หรือจัดทำเป็น e-book บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต หากตรวจพบการละเมิด จะมีโทษทั้งทางแพ่งและอาญา ผมดำเนินการจริง ฟ้องจริง ขอความกรุณาอย่าทำผิดลิขสิทธิ์ครับ

“ปันปัน” เป็นหลานของช่างทำธนูฝีมือเยี่ยม  พ่อกับแม่ของปันปันฝากเขาเอาไว้กับคุณปู่ก่อนที่พวกท่านจะลาขึ้นสวรรค์ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ  ปันปันเสียใจที่เขาไม่มีโอกาสได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่  แต่เขาก็ยังรู้สึกดีที่อย่างน้อยเขาก็ยังมีคุณปู่ผู้คอยเฝ้าห่วงใยเขาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก

ปันปันรักคุณปู่มาก  และแน่นอน…คุณปู่ก็รักปันปันด้วยเช่นกัน  ปันปันมักจะเฝ้ามองคุณปู่ในขณะที่ท่านกำลังลงมือทำธนูด้วยความตั้งอกตั้งใจ  เมื่อปันปันเห็นคุณปู่ทำธนูอยู่บ่อย ๆ ปันปันจึงนึกอยากที่จะทำธนูขึ้นมาบ้าง  ด้วยเหตุนี้  ปันปันจึงเริ่มต้นฝึกทำธนู  โดยเขามักจะขอให้คุณปู่ช่วยชี้แนะวิธีการทำธนูให้กับเขา

ธนูคันแรกของปันปันเสร็จสมบูรณ์ขึ้นในวันที่ปันปันมีอายุ 7 ขวบ  ปันปันภูมิใจในผลงานการทำธนูของเขามาก  และเมื่อปันปันอายุ 12 ขวบ  ปันปันก็กลายเป็นช่างทำธนูที่มีฝีมือในการทำธนูและยิงธนูไม่เป็นสองรองจากใคร

อยู่มาวันหนึ่ง  คุณปู่ของปันปันล้มป่วยลงด้วยอาการที่น่าเป็นห่วง  คุณหมอประจำหมู่บ้านต่างพากันถอนใจ เพราะอาการป่วยของคุณปู่หนักเกินกว่าที่แพทย์ประจำหมู่บ้านอย่างพวกเขาจะช่วยเยียวยาเอาไว้ได้

คุณหมอท่านหนึ่งได้เปรยกับปันปันว่า  หากได้หมอที่เก่งกว่านี้ อย่างเช่นหมอหลวงของพระราชามาช่วยทำการรักษา คุณปู่ก็น่าจะหายป่วยได้ไม่ยากนัก  ปันปันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เขาคงไม่อาจช่วยให้คุณปู่หายจากอาการป่วยที่แสนทรมานนี้ได้  ใคร ๆ ก็รู้ดีว่าหมอหลวงคือหมอของพระราชา  ดังนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่หมอหลวงจะมารักษาคุณปู่ให้กับเขา

แต่โชคดีก็ยังเป็นของคุณปู่และปันปัน  เพราะในช่วงเวลานั้น  พระราชาได้จัดการแข่งขันการยิงธนูระยะไกลขึ้น  พระราชาทรงประกาศว่า  ผู้ที่ชนะ สามารถขอรางวัลอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา   ปันปันรู้ดีว่าเขาต้องการจะขออะไรจากพระราชา  ปันปันจึงรีบสมัครเข้าร่วมแข่งขันอย่างไม่ลังเล

เหล่าขุนนางต่างพากันหัวเราะเยาะเมื่อเห็นเด็กน้อยอย่างปันปันแบกธนูไม้คันใหญ่ยักษ์เข้ามาสมัครร่วมแข่งขัน  ด้วยความที่มีผู้สมัครเข้าแข่งขันอยู่ก่อนแล้วเพียง 3 คน คือชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลสูง  นักรบร่อนเร่ผู้หยาบช้า  และอัศวินจากประเทศตะวันตก  ดังนั้น  พวกขุนนางจึงยินยอมให้ปันปันเข้าร่วมการแข่งขันได้  โดยพวกเขาจัดลำดับให้ปันปันยิงธนูเป็นคนสุดท้าย เพื่อให้ปันปันกลายเป็นตัวขบขันและสร้างสีสันให้กับงาน!

เมื่อเวลาของการแข่งขันมาถึง  เหล่าทหารก็พากันผูกด้ายแดงเข้ากับปลายลูกธนูของผู้เข้าแข่งขันทั้ง 4 คน  ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนมีโอกาสในการยิงธนูคนละ 1 ครั้ง ซึ่งหากลูกธนูของใครพาด้ายแดงไปได้ไกลที่สุด  บุคคลนั้นก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะของการยิงธนูระยะไกลในครั้งนี้

บุคคลแรกที่ยิงธนูก็คือชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลสูง  ชายหนุ่มคนนี้สามารถยิงธนูไปปักที่ต้นไม้ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลถึง 500 ก้าว   ส่วนนักรบร่อนเร่ผู้หยาบช้านั้น  เขาตั้งใจอวดฝีมือด้วยการยิงธนูทะลุผ่านธนูลูกแรก  แล้วปล่อยให้ลูกธนูทะลวงผ่านต้นไม้ไปตกอยู่ในป่าทึบซึ่งห่างออกไปวัดได้ 1000 ก้าว  แต่ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือฝีมือการยิงธนูขออัศวินจากประเทศตะวันตก  เพราะเขาสามารถยิงธนูข้ามป่าทึบไปตกที่ด้านหลังของภูเขา  ซึ่งเมื่อวัดระยะทางแล้ว  เขาเป็นผู้ที่ยิงธนูได้ไกลที่สุด คือไกลถึง 2000 ก้าวเลยทีเดียว

และแล้ว…โอกาสในการยิงธนูของปันปันก็มาถึง  ผู้คนต่างพากันหัวเราะขบขันเมื่อเห็นเด็กน้อยแบกธนูคันใหญ่ยักษ์เข้ามาตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จุดตั้งต้น  และเมื่อทหารให้สัญญาณในการยิงธนู  ปันปันซึ่งตั้งสมาธิและจรดหัวใจไว้ที่ปลายธนูอยู่แล้ว ก็ค่อย ๆ ทำการเหนี่ยวสายธนูอย่างช้า ๆ  จนคันธนูโค้งเกือบเป็นรูปวงกลม  และเมื่อปันปันปล่อยมือจากสายธนู  คันธนูก็ดีดตัวกลับ  ทำให้ลูกธนูพุงฉับตัดอากาศไปว่องไวราวกับสายลม

ผู้คนต่างพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออก  ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า  เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างปันปันจะสามารถยิงธนูได้แรงถึงเพียงนี้  แต่เมื่อทหารลงมือค้นธนูเพื่อวัดระยะ  สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น   เพราะแทนที่ทหารจะพบลูกธนูตกไกลออกไปอย่างที่หลายคนคาดหวัง  ลูกธนูกลับตกอยู่ในพุ่มไม้ห่างจากจุดตั้งต้นเพียงแค่ 10 ก้าวเท่านั้น!  และนี่คือความจริงที่ปันปันไม่อาจปฏิเสธได้

แต่โชคของปันปันก็ยังคงมีอยู่  เพราะในขณะนั้น  พระราชาผู้ทรงความยุติธรรมได้ชมการแข่งขันมาโดยตลอด  พระราชาทรงสงสัยว่า เพราะเหตุใดลูกธนูของเด็กน้อยจึงพุ่งไปได้ไม่ไกลอย่างที่ควรจะเป็น  ดังนั้น ก่อนที่พระองค์จะทำการประกาศตัวผู้ชนะ  พระองค์จึงสั่งให้ทหารลองวัดความยาวของด้ายสีแดงที่ผูกติดอยู่กับปลายลูกธนูของปันปันให้แน่ใจเสียก่อน

เมื่อทหารลงมือวัดความยาวของด้ายสีแดงโดยเริ่มวัดจากจุดตั้งต้น  ผลที่เกิดขึ้นก็คือ…ทหารต้องเดินวนรอบโลก 1 รอบจนกระทั่งกลับมาที่จุดตั้งต้นอีกครั้ง  แล้วเดินต่อไปอีก 10 ก้าว จึงวัดความยาวทั้งหมดได้ครบถ้วน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ลูกธนูของปันปันพุ่งทะยานไปได้ไกลที่สุด  โดยเดินทางไปรอบโลกภายในเวลาเพียงแค่พริบตาเดียว

ในที่สุด  ปันปันก็ได้เป็นผู้ชนะ และเมื่อพระราชาทรงถามว่า ปันปันต้องการอะไรเป็นรางวัลสำหรับชัยชนะในครั้งนี้  ปันปันจึงรีบตอบพระราชาด้วยความมุ่งมั่นว่า สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือเขาอยากขอยืมตัวหมอหลวงให้ช่วยไปรักษาคุณปู่ผู้เป็นที่รักของเขา

พระราชาทรงชื่นชมในความสามารถและความกตัญญูของปันปัน  ดังนั้น  หลังจากที่หมอหลวงทำการรักษาคุณปู่จนหายป่วยแล้ว  พระราชาจึงรับปันปันกับคุณปู่ให้เข้ามาอยู่ในพระราชวัง โดยมอบหมายให้ปู่หลานทั้งสองคอยฝึกฝนพลธนูของกองทัพให้มีความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ

และแล้ว..นิทานเรื่องนี้ก็จบลงอย่างมีความสุข

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความกตัญญูคือพลังที่ยิ่งใหญ่
  • อย่าตัดสินใครจากรูปลักษณ์ภายนอก
  • ความพยายามและความตั้งใจสามารถพาเราไปไกลกว่าที่ใครคาดคิด

#นิทานนำบุญ