ความพยายามที่จะพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร แค่เรามีความตั้งใจที่จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น แล้วลงมือทำ นั่นก็เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว”
ตอนที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เป็นนักแต่งนิทาน วันหนึ่ง ผมนึกอยากแต่งนิทานเกี่ยวกับสัตว์ที่ตัวเองไม่เคยนำมาใช้เป็นตัวละคร คิดไปคิดมา ชื่อของเสือชีต้าร์ก็แว่บขึ้นมาในใจ ตอนนั้น ผมยังไม่เคยแต่งนิทานเกี่ยวกับเสือชีต้าร์เลย แต่ถ้าจะแต่งนิทานเกี่ยวกับเสือชีต้าร์ ผมควรจะหาตัวละครอีกสักตัวมาเป็นตัวละครในนิทานด้วย เสือควรคู่กับตัวอะไร? จู่ ๆ คำว่า “หมูชีต้าร์” ก็ขึ้นเกิดขึ้นโดยที่ยังไม่มีเนื้อเรื่องใด ๆ เลย หมูเป็นสัตว์ตัวอ้วนอุ้ยอ้าย ส่วนเสือชีตาร์เป็นสัตว์ที่วิ่งเร็วว่องไว ผมว่าชื่อนี้เท่ดี ไม่เหมือนใคร พอได้ชื่อนิทานว่า “หมูชีต้าร์” ผมจึงคิดเนื้อเรื่องต่อ จนได้เรื่องออกมา ดังนิทานต่อไปนี้ ลองไปอ่านกันดูนะครับ
นิทานเรื่อง หมูชีต้าร์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่เสือชีต้าร์ตัวหนึ่งไปพบลูกหมูกำพร้าซึ่งมีลายตามตัวคล้ายกับเสือชีต้าร์เข้าโดยบังเอิญ แม่เสือเห็นลูกหมูก็นึกสงสาร มันจึงพาลูกหมูกำพร้ากลับบ้าน แล้วเลี้ยงดูลูกหมูเช่นเดียวกับลูก ๆ ทั้งสามตัวของมัน
ลูกเสือทุกตัวต่างรักน้องใหม่ของพวกมันมาก แม้น้องหมูจะมีหน้าตาไม่เหมือนพวกมันเลยสักนิด แต่เนื้อตัวที่จ้ำม่ำนุ่มนิ่มของเจ้าลูกหมูก็ทำให้ลูกเสือทั้งสามหลงรักน้องเล็กของพวกมันทันทีที่ได้พบ ลูกหมูกำพร้ามีความสุขที่ได้อยู่กับพี่ ๆ ส่วนครอบครัวเสือชีต้าร์ก็ดีใจที่มีเจ้าหมูน้อย น่ารักมาอยู่ร่วมฝูงด้วย
เมื่อเวลาผ่านไป ลูกหมูเริ่มสังเกตเห็นว่าตัวของมันแตกต่างจากพี่ ๆ ในแทบทุกด้าน เพราะนอกจากมันจะอ้วนตุ้ยอุ้ยอ้ายแล้ว มันยังอ่อนแอและไม่ดุดันเหมือนกับพี่ ๆ เสียอีก เจ้าลูกหมูกลัวว่าสักวันมันอาจวิ่งไม่ทันพี่ ๆ (ที่วิ่งเร็วเหมือนดั่งพายุ) หรือมันอาจกลายเป็นตัวถ่วง ที่ทำให้พี่ ๆ ล่าเหยื่อไม่ทันก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ เจ้าลูกหมูจึงตัดสินใจฝึกฝนร่างกายเพื่อทำให้ตัวของมันว่องไวขึ้น, แข็งแรงขึ้นและดุดันมากยิ่งขึ้น
เจ้าลูกหมูเริ่มแผนที่วางไว้ด้วยการตื่นนอนแต่เช้าแล้วเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ จากนั้น มันก็จะพักให้อาหารย่อย แล้วจึงค่อยเริ่มออกกำลังกายด้วยการวิ่งลากลูกมะพร้าวที่ผูกติดกันเป็นพวงขนาดใหญ่ไปตามผืนทรายในป่า ยิ่งมะพร้าวที่เจ้าลูกหมูเอามาผูกกันมีน้ำหนักมากเท่าไร เจ้าลูกหมูก็ต้องออกแรงลากมากขึ้นเท่านั้น ลูกหมูตั้งใจฝึกฝนและเพิ่มพลังให้ตัวเองอย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพราะมันต้องการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเสือชีต้าร์ตลอดไปและไม่อยากถูกทิ้งให้กลายเป็นลูกหมูกำพร้าที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอีก
เมื่อสัตว์ในป่าเห็นลูกหมูฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก สัตว์ทั้งหลายก็พากันหัวเราะเยาะและดูถูกว่าเจ้าลูกหมูไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ว่องไว, แข็งแกร่งหรือดุดันเหมือนกับเสือชีต้าร์ไปได้
เจ้าหมาป่าล้อเลียนลูกหมูว่า “ลูกหมูที่เนื้อตัวนุ่มนิ่มแบบนี้….ดูน่ากินมากกว่าน่ากลัวนะ” ส่วนเจ้าหมาจิ้งจอกก็เย้ยลูกหมูว่า “ขาสั้น ๆ แบบนี้จะไปวิ่งเร็วเหมือนดั่งพายุได้ยังไง อย่างมากก็คงวิ่งได้เร็วพอ ๆ กับคนที่เป็นลมบ้าหมูเท่านั้น”
ลูกหมูเสียใจที่สัตว์ทั้งหลายพากันล้อเลียนมัน แต่โชคดีที่แม่เสือและพี่ทั้งสามบอกให้ลูกหมูยิ้มสู้ เพราะความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น ดังนั้น เจ้าลูกหมูจึงมีกำลังใจที่จะกัดฟันฝึกฝนร่างกายต่อไปอย่างไม่ลดละ
หนึ่งปีผ่านไป เจ้าหมูน้อยที่เคยอ้วนตุ๊ต๊ะและมีเนื้อตัวนุ่มนิ่มก็กลายเป็นหมูน้อยที่มีรูปร่างบึกบึนและสง่างามอย่างไม่น่าเชื่อ มิหนำซ้ำ กล้ามเนื้อของมันยังแข็งแกร่งมากพอที่จะเข้าปะทะกับสัตว์ตัวใหญ่ ๆ ได้อีก นอกจากนี้ พลังขาที่เจ้าลูกหมูเฝ้าฝึกฝนมาเป็นอย่างดีก็ทำให้มันสามารถเพิ่มความเร็วในการวิ่งจนสัตว์ต่าง ๆ ที่ได้เห็นถึงกับต้องอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน
และแล้ว…เจ้าลูกหมูตัวน้อยก็ว่องไวขึ้น, แข็งแรงขึ้นและดุดันมากขึ้นสมดังที่มันตั้งใจเอาไว้ เมื่อสัตว์ต่าง ๆ ที่เคยล้อเลียนเจ้าลูกหมูได้เห็นผลสำเร็จจากความพยายามอันยิ่งใหญ่ของมัน สัตว์ต่าง ๆ จึงรู้สึกผิดและไม่คิดดูถูกดูหมิ่นผู้อื่นอีก
แม้เจ้าลูกหมูจะไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเสือชีต้าร์ได้ แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยอมรับและพร้อมใจกันเรียกมันว่า “หมูชีต้าร์” โดยไม่มีข้อกังขา
ในที่สุด เจ้าหมูน้อยก็ได้กลายเป็นสมาชิกของครอบครัว “ชีต้าร์” อย่างสมบูรณ์แบบ
#นิทานนำบุญ
……………………………………………….
