Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ช้างน้อยสร้างบ้าน

นิทานเรื่อง ช้างน้อยสร้างบ้าน

กาลครั้งหนึ่ง มีช้างน้อยตัวหนึ่งเป็นช้างน้อยนิสัยดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ

วันหนึ่ง ช้างน้อยเกิดนึกอยากที่จะมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่น่าเสียดาย…ช้างน้อยผู้มีน้ำใจไม่เคยสร้างบ้านให้ใคร ๆ มาก่อน ดังนั้น ช้างน้อยจึงต้องไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ให้มาช่วยสร้างบ้านให้กับเขา

ช้างน้อยเดินทางไปหาเจ้าหนูเพื่อนรักเป็นคนแรก ช้างน้อยกับเจ้าหนูเป็นเพื่อนกันมานาน ช้างน้อยเคยช่วยเหลือเจ้าหนูไว้หลายอย่าง เมื่อเจ้าหนูรู้ว่าช้างน้อยอยากจะมีบ้าน เจ้าหนูจึงอาสาสร้างบ้านให้ช้างน้อยทันที

เจ้าหนูเคยสร้างบ้านของตัวเองมาแล้ว การสร้างบ้านจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจ้าหนู แต่น่าเสียดาย…เมื่อเจ้าหนูแทะผนังและสร้างบ้านให้ช้างน้อยจนเสร็จ ช้างน้อยกลับเข้าไปอยู่ในรูที่เจ้าหนูสร้างให้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ช้างน้อยจึงได้แต่ขอบใจ แล้วเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ตัวใหญ่กว่าเจ้าหนู

ช้างน้อยเดินทางไปหาเพื่อนที่ชื่อว่ายักษ์ใหญ่ใจดี ช้างน้อยเคยช่วยยักษ์ใหญ่ไว้หลายอย่าง เมื่อยักษ์ใหญ่รู้ว่าช้างน้อยอยากจะมีบ้าน ยักษ์ใหญ่จึงอาสาสร้างบ้านให้ช้างน้อย

ยักษ์ใหญ่ปีนต้นถั่วขึ้นไปบนฟ้า แล้วลงมือสร้างบ้านให้ช้างน้อยอย่างไม่รอช้า ยักษ์ใหญ่ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็สร้างบ้านหลังใหญ่ให้ช้างน้อยจนเสร็จ แต่น่าเสียดาย…ช้างน้อยเป็นโรคกลัวความสูง เพราะฉะนั้น ช้างน้อยจึงได้แต่ขอบใจยักษ์ใหญ่ แล้วเดินทางไปหาเพื่อนที่พอจะสร้างบ้านบนพื้นดินให้กับเขาได้

ระหว่างทาง ช้างน้อยนึกถึงบ้านในนิทานเก่าแก่ ดังนั้น ช้างน้อยจึงเลือกที่จะเดินทางไปหาแม่มดนักทำขนม แม่มดใจดีเป็นเพื่อนกับช้างน้อยมานานแล้ว ช้างน้อยเคยช่วยแม่มดไว้หลายอย่าง เมื่อช้างน้อยขอร้องให้แม่มดใจดีสร้างบ้านจากขนมหวานให้ แม่มดใจดีจึงร่ายมนตร์เสกบ้านหลังใหญ่ที่ทำจากขนมหวานให้แก่ช้างน้อย

ช้างน้อยชอบบ้านขนมหวานที่แม่มดใจดีเนรมิตให้เขาเอาเสียมาก ๆ แต่น่าเสียดาย…เพราะเมื่อช้างน้อยเข้าไปอยู่ในบ้านได้เพียงไม่นาน พวกมดก็พากันยกขบวนเข้ามาอยู่ในบ้านขนมหวานจนเต็มบ้านไปหมด ช้างน้อยไม่ถูกกับมด เขากลัวโดนมดกัด ด้วยเหตุนี้ ช้างน้อยจึงจำใจสละบ้านขนมหวานให้แก่พวกมดทั้งหลายด้วยความเสียดาย

ช้างน้อยนั่งหน้าเศร้าและพยายามคิดหาคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะมาสร้างบ้านให้กับเขา ใครสักคนที่เคยสร้างบ้านมาแล้วจริง ๆ จะเป็นบ้านที่ทำจากอะไรก็ได้…แต่ต้องไม่ใช่ขนมหวาน ช้างน้อยค่อย ๆ นึก…นึก…แล้วก็นึก ในที่สุด ช้างน้อยก็จำได้ว่า เขามีเพื่อนเก่าที่เคยสร้างบ้านจากอิฐ ไม้ และเศษฟาง ช้างน้อยมีสีหน้าที่เจือไปด้วยรอยยิ้ม เขาลุกขึ้นยืน แล้วรีบเดินทางไปหาเพื่อนของเขาทันที

ลูกหมูสามตัวต่างยินดีที่ช้างน้อยเดินทางมาเยี่ยม ช้างน้อยเคยช่วยลูกหมูไว้หลายอย่าง เมื่อช้างน้อยเอ่ยปากขอให้ลูกหมูช่วยสร้างบ้านให้ ลูกหมูทั้งสามตัวจึงกุลีกุจอเป็นธุระสร้างบ้านให้แก่ช้างน้อยอย่างไม่อิดออด

ลูกหมูตัวพี่อาสาสร้างบ้านให้แข็งแรงโดยใช้อิฐและปูน ลูกหมูตัวกลางรับหน้าที่ใช้ไม้ตกแต่งภายในบ้านให้ดูน่าอยู่ ส่วนลูกหมูตัวสุดท้องนำฟางและเปลือกไม้ไปปูทับบนหลังคาเพื่อทำให้บ้านร่มรื่น ไม่นานนัก บ้านแสนสุขของช้างน้อยก็เสร็จสมบูรณ์ด้วยฝีมือของลูกหมูทั้งสามตัว

เมื่อช้างน้อยได้เห็นวิธีสร้างบ้านของเพื่อน ๆ แต่ละคน ทั้งบ้านหลังเล็ก บ้านสีฟ้า บ้านขนมหวานและบ้านแสนสุข ช้างน้อยจึงบอกกับตัวเองว่า สักวันหนึ่ง…หากเขามีโอกาส เขาก็จะช่วยสร้างบ้านให้กับคนที่อยากมีบ้านเช่นเดียวกับที่เพื่อน ๆ ช่วยกันสร้างบ้านให้กับเขา

การช่วยเหลือกันทำให้ทั้งคนช่วยและคนที่ได้รับความช่วยเหลือมีความสุข

และในเย็นวันนั้น ช้างน้อยก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ขึ้น เพื่อขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่มีน้ำใจช่วยเหลือเขา และแล้ว…นิทานแห่งความสุขก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานนำบุญ

…………………..

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย

ถ้าอ่านผ่าน ๆ   คุณผู้อ่านอาจรู้สึกว่า นิทานก่อนนอนเรื่อง “การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย” เป็นนิทานที่เรียบง่ายและน่ารัก  แต่ในมุมของผู้แต่ง นิทานเรื่องนี้มีที่มาและมีเรื่องราวที่เศร้ามากซ่อนอยู่!  ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งนิทานเรื่องนี้  ตอนนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ผมต้องพบกับเรื่องยากลำบากหลายอย่าง  ปัญหาง่าย ๆ บางเรื่อง ก็ไม่มีเพื่อนที่พอจะปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือได้เลย  ทุกเรื่องจึงต้องทำและแก้เองทั้งหมด  ไม่ว่าจะยากหรือเหนื่อยหนักขนาดไหนก็ต้องทำเองให้ได้  เพราะมันไม่มีทางอื่นเลย   ในช่วงเวลานั้น  น้ำใจไมตรีเล็ก ๆ น้อย ๆ จากใครก็ตาม จึงเป็นสิ่งที่มีค่ามาก  เหมือนการได้ดื่มน้ำเย็น ๆ กลางทะเลทรายอะไรทำนองนั้น  ซึ่งเมื่อผมต้องแต่งนิทานส่งให้นิตยสารขวัญเรือนในช่วงนั้น ผมจึงคิดคำว่า “การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย” ขึ้นมา   ข้อความนี้จึงเป็นถ้อยคำที่มีความหมายมาก  หวังว่านิทานที่อบอุ่นเรื่องนี้จะทำให้ผู้อ่านมีความสุขนะครับ

นิทานเรื่อง การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย

นานมาแล้ว มีเม่นตัวหนึ่งเพิ่งย้ายมาอยู่ในบ้านกลางป่าได้ไม่นาน  เจ้าเม่นยังไม่มีเพื่อน มันจึงต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างตามลำพังเสมอ

วันหนึ่ง ในขณะที่เจ้าเม่นเดินเข้าไปในป่าเพื่อหาผักผลไม้มาทำอาหารเย็น  จู่ ๆ เจ้าเม่นก็เห็นกระต่ายขนปุยตัวหนึ่งพยายามลากท่อนไม้เพื่อนำไปสร้างบ้าน  ไม้แต่ละท่อนมีขนาดใหญ่, ยาวและหนักมาก เจ้าเม่นรู้ดีถึงความยากลำบากในการต้องทำอะไร ๆ คนเดียวเช่นนี้   มันจึงอาสาช่วยกระต่ายขนปุยด้วยการแบกปลายไม้คนละด้านแล้วนำไปสร้างบ้านจนเสร็จ  กระต่ายขนปุยดีใจที่งานลุล่วงไปได้ง่ายกว่าที่คิด  มันส่งยิ้มแล้วบอกกับเจ้าเม่นเพื่อนใหม่ว่า “ขอบใจนะ การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย”

เจ้าเม่นดีใจที่มันได้เป็นเพื่อนกับกระต่ายขนปุย  มันแนะนำตัวให้กระต่ายรู้จักและบอกว่ามันเพิ่งย้ายมาอยู่ในป่าแห่งนี้ได้ไม่นานนัก  จากนั้น  เจ้าเม่นก็ขอไปหาผักผลไม้มาทำอาหารเย็นตามที่ตั้งใจไว้

ระหว่างทาง เจ้าเม่นพบลูกกระรอกตัวหนึ่งกำลังขยายแปลงผักที่สวนหลังบ้าน  พื้นดินบริเวณนั้นมีแต่ดินแข็ง ๆ ซึ่งต้องออกแรงขุดไม่ใช่น้อย  เจ้าเม่นรู้ดีถึงความยากลำบากในการต้องทำอะไร ๆ คนเดียวเช่นนี้  มันจึงอาสาช่วยลูกกระรอกขุดดินและทำให้ลูกกระรอกขยายแปลงผักรวมทั้งปลูกผักเพิ่มเติมได้เร็วกว่าที่คิดหลายเท่า  เมื่องานเสร็จ ลูกกระรอกจึงหันมาส่งยิ้มให้เจ้าเม่นแล้วบอกกับเพื่อนใหม่ว่า “ขอบใจนะ การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย”

เจ้าเม่นดีใจที่มันได้เป็นเพื่อนกับลูกกระรอก มันเล่าให้ลูกกระรอกฟังว่าวันนี้มันโชคดีมากที่ได้เพื่อนใหม่ถึง 2 คน คือลูกกระรอกและกระต่ายขนปุย  ลูกกระรอกรู้จักกระต่ายขนปุยเป็นอย่างดี  มันดีใจที่ลูกกระต่ายเพื่อนของมันได้เป็นเพื่อนกับเจ้าเม่นผู้มีน้ำใจ  และหลังจากเจ้าเม่นพูดคุยกับลูกกระรอกได้สักพัก  มันก็ขอตัวไปหาผักผลไม้เพื่อนำมาทำอาหารเย็นตามที่ตั้งใจไว้

ระหว่างทาง เจ้าเม่นพบแพนด้าน้อยตัวหนึ่งหอบถุงใส่ผลไม้ขนาดใหญ่ท่วมหัวท่วมหูเดินมาตามลำพัง  ถุงผลไม้มีขนาดใหญ่มากแถมปิดหน้าปิดตาจนแพนด้าน้อยมองทางแทบไม่เห็น  เจ้าเม่นรู้ดีถึงความยากลำบากในการต้องทำอะไร ๆ คนเดียวเช่นนี้  มันจึงอาสาช่วยแพนด้าน้อยแบกถุงใส่ผลไม้ โดยแบ่งกันแบกคนละครึ่งถุง ทำให้แพนด้าน้อยเบาแรงและนำผลไม้ไปที่บ้านได้สะดวกมากขึ้น  เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแพนด้าน้อยก็ส่งยิ้มให้เจ้าเม่นแล้วบอกกับเพื่อนใหม่ว่า “ขอบใจนะ การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย”

เจ้าเม่นดีใจที่มันได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง มันเล่าเรื่องกระต่ายขนปุยและลูกกระรอกให้แพนด้าฟัง ซึ่งแพนด้าน้อยก็รู้จักกับเพื่อนรักทั้งสองดีอยู่แล้ว  และหลังจากเจ้าเม่นพูดคุยกับแพนด้าน้อยได้สักพัก  มันก็รีบขอตัวไปหาผักผลไม้เพื่อนำมาทำอาหารเย็นโดยด่วน…ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินและทำให้ทุกอย่างรอบตัวมืดไปหมด

เมื่อเจ้าเม่นแยกตัวไปค้นหาของกินตามที่ตั้งใจไว้ได้ไม่นาน  พระอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยต่ำ ซึ่งทำให้เจ้าเม่นต้องรีบกลับบ้านก่อนที่จะมองทางไม่เห็น

เจ้าเม่นเก็บผลไม้ซึ่งหล่นอยู่ตามพื้นมาได้แค่ผลสองผล  มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า “ถึงวันนี้จะได้ของกินมาน้อยมาก แต่ก็ยังดีที่ได้พบเจอเพื่อนดี ๆ ตั้ง 3 คนเลยนะ”

ครั้นเมื่อเจ้าเม่นเดินทางกลับมาถึงบ้าน มันก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่า กระต่ายขนปุย, ลูกกระรอกและแพนด้าน้อยมารอมันอยู่ที่หน้าบ้าน  เพื่อนทั้งสามตั้งใจมาชวนเจ้าเม่นไปกินอาหารเย็นด้วยกันที่บ้านของกระต่ายขนปุย เพราะแพนด้าน้อยคาดเดาว่า หลังจากเจ้าเม่นออกจากบ้านของมัน เจ้าเม่นคงหาของกินไม่ทันพระอาทิตย์ตกแน่ ๆ

เจ้าเม่นคิดไม่ถึงว่าเย็นวันนี้มันจะได้กินอาหารที่บ้านของกระต่ายขนปุย, ได้ลิ้มรสผักสด ๆ จากแปลงผักของลูกกระรอกและได้อิ่มอร่อยกับผลไม้หลากหลายชนิดที่แพนด้าน้อยเตรียมไว้ให้

เจ้าเม่นยิ้มแล้วเดินตามเพื่อน ๆ ไปอย่างมีความสุข  พร้อมกับบอกเพื่อน ๆ ทั้งหมดว่า “ขอบใจนะ การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย”

#นิทานนำบุญ

…………………………….