Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

แอปเปิ้ลสีทอง

นิทานเรื่อง แอปเปิ้ลสีทอง

เจ้าจ๋อ น้องต่าย คุณตูบ และช้างน้อยเป็นสมาชิกของกลุ่มเพื่อนซี้สี่จิ๋วที่รักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนดั่งพี่น้อง  พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน เล่นสนุกด้วยกัน ช่วยเหลือกัน แบ่งปันกัน และคอยดูแลความรู้สึกของกันและกัน  ด้วยเหตุนี้  เพื่อนซี้สี่จิ๋วจึงเป็นกลุ่มเพื่อนที่มีความสุขมากกว่าใคร  ๆ

วันหนึ่ง  ในขณะที่เจ้าจ๋อหนึ่งในสมาชิกเพื่อนซี้สี่จิ๋วกำลังเผ่นโผนโจนทะยานอยู่กลางป่า  จู่ ๆ เจ้าจ๋อก็เหลือบไปเห็นต้นแอปเปิ้ลต้นใหญ่ ซึ่งมีผลแอปเปิ้ลสีทองสี่ผลแลดูน่ากินเสียจนเจ้าจ๋อเกือบอดใจเอาไว้ไม่ไหว เจ้าจ๋อลืมนึกถึงเพื่อน ๆ ไปชั่วขณะ  เขารีบตรงไปที่ต้นแอปเปิ้ลพลางคิดในใจว่า มันคงดีไม่น้อย…ถ้าเขาได้รับประทานแอปเปิ้ลทั้งสี่ผลแต่เพียงผู้เดียว

แต่ก่อนที่เจ้าจ๋อจะทำอะไร ๆ อย่างที่เขาคิด  จู่ ๆ ช้างน้อยเพื่อนรักก็โผล่ออกมาจากพงหญ้าทางด้านหลัง  ช้างน้อยถามเจ้าจ๋อว่ากำลังทำอะไรอยู่  เจ้าจ๋อได้แต่อึกอักแล้วตอบแก้เก้อไปว่า “จ๋อกำลังจะเก็บแอปเปิ้ลไปฝากช้างน้อยไงล่ะ”  ว่าแล้ว เข้าจ๋อก็เด็ดแอปเปิ้ลสองผลส่งให้ช้างน้อย

แอปเปิ้ลสีทองสุขปลั่งทำให้ทั้งเจ้าจ๋อและช้างน้อยต่างลืมนึกถึงเพื่อน ๆ ไปด้วยกันทั้งคู่  กลิ่นหอมของแอปเปิ้ลสีทองทำให้พวกเขาอยากลิ้มลองรสชาติของแอปเปิ้ลจนเกือบจะอดใจเอาไว้ไม่อยู่ แต่ก่อนที่เพื่อนรักทั้งสองจะลงมือรับประทานแอปเปิ้ลแสนอร่อยทั้งสี่ผลนั้น  จู่ ๆ คุณตูบหนึ่งในสมาชิกเพื่อนซี้สี่จิ๋วก็เดินออกมาจากพงหญ้าอีกฟากหนึ่ง แล้วทักทายเพื่อน ๆ ด้วยน้ำเสียงที่แสนซื่อ

“ทำอะไรกันอยู่เหรอ” คุณตูบถามด้วยความอยากรู้  

แน่นอนว่าทั้งเจ้าจ๋อและช้างน้อยต่างอึกอัก เพราะเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองลืมนึกถึงเพื่อนรักไปอีกคน  เจ้าจ๋อตั้งสติได้ก่อนจึงแก้ตัวไปน้ำขุ่น  ๆ ว่า “จ๋อกับช้างน้อยกำลังจะเก็บแอปเปิ้ลไปฝากคุณตูบยังไงล่ะ”  ว่าแล้วเจ้าจ๋อก็จัดการแบ่งแอปเปิ้ลอีกครั้ง โดยคราวนี้เขาแบ่งแอปเปิ้ลให้เพื่อนคนละหนึ่งผล โดยตั้งใจที่จะนำแอปเปิ้ลผลที่เหลือมาหั่นเป็นสามส่วนเท่า ๆ กัน

ตอนนี้เจ้าจ๋อ คุณตูบและช้างน้อยต่างมีแอปเปิ้ลคนละลูกกว่า ๆ  กลิ่นหอมและสีสันของมนทำให้เพื่อนซี้ทั้งสามลืมนึกถึงเพื่อนรักคนสุดท้ายซึ่งกำลังรอพวกเขาอยู่ที่บ้านตามลำพัง   เจ้าจ๋อ คุณตูบและช้างน้อยไม่ได้ตั้งใจที่จะลืมน้องต่ายเลย  แต่ด้วยความน่ารับประทานของแอปเปิ้ลสีทอง  ทุก ๆคนจึงลืมนึกถึงน้องต่ายเพื่อนรัก…ไปโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว!

และก่อนที่เจ้าจ๋อ คุณตูบและช้างน้อยจะลงมิอรับประทานแอปเปิ้ลสีทอง  จู่  ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงของใครบางคนกำลังร้องเรียกพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารที่สุด   ใช่แล้ว! เสียงที่พวกเขาได้ยินก็คือเสียงน้องต่าย…สมาชิกคนสุดท้ายของกลุ่มเพื่อนซี้สี่จิ๋ว

เมื่อเจ้าจ๋อ คุณตูบและช้างน้อยได้ยินเสียงร้องเรียกของน้องต่าย  ทุก ๆ คนจึงเริ่มรู้ตัวว่า พวกเขาได้ลืมเพื่อนรักคนสำคัญไปอีกคนหนึ่ง  และเพื่อเป็นการลบล้างความผิด  พวกเขาจึงส่งเสียงเรียกน้องต่าย โดยตั้งใจที่จะแบ่งแอปเปิ้ลสีทองให้กับน้องต่ายด้วย

“ไม่รักต่ายกันแล้วเหรอ”  น้องต่ายสะอึกสะอื้นถามเพื่อน ๆ  “ทำไมทิ้งต่ายให้อยู่บ้านคนเดียวล่ะ”  น้องต่ายตัดพ้ออย่างน่าสงสารแล้วเริ่มร้องไห้อีกครั้ง  เจ้าจ๋อ คุณตูบและช้างน้อยไม่เคยเห็นน้องต่ายเสียใจมากถึงขนาดนี้มาก่อน  พวกเขารู้ดีว่า พวกเขารักน้องต่ายมากกว่าแอปเปิ้ลสีทองที่อยู่ในมือเป็นไหน ๆ   ดังนั้น  เจ้าจ๋อ คุณตูบ และช้างน้อยจึงพร้อมใจกันยื่นแอปเปิ้ลทั้งหมดให้กับน้องต่ายเพื่อปลอบใจเพื่อนรัก

น้องต่ายรู้สึกดีขึ้นมากเมื่อได้เห็นแอปเปิ้ลสีทองที่เพื่อน ๆ ยื่นมาให้ เธอคิดไปเองว่าเพื่อน ๆ คงตั้งใจจะแอบมาเก็บแอปเปิ้ลไปฝากเธอ เพื่อทำให้เธอแปลกใจเมื่อได้เห็นมัน  ต้องต่ายส่งยิ้มให้เพื่อน ๆ แล้วขอกลับบ้นไปก่อนด้วยความตื้นตันใจ

ในที่สุด  ทั้งเจ้าจ๋อ คุณตูบและช้างน้อยก็พลาดโอกาสที่จะได้ลองลิ้มชิมรสแอปเปิ้ลสีทองที่พวกเขาใฝ่ฝัน  แต่อย่างไรก็ตาม  ไม่มีใครเลยในกลุ่มเพื่อนรักทั้งสามที่รู้สึกว่าตนองตัดสินใจผิดในการมอบแอปเปิ้ลทั้งหมดให้กับน้องต่ายที่พวกเขารัก  ดีเสียอีก…เพราะถ้าพวกเขากินมันไปโดยที่ลืมนึกถึงน้องต่าย  พวกเขาคงจะรู้สึกผิดและอายจนไม่กล้าสู้หน้าน้องต่ายแน่ ๆ

ในเย็นวันนั้น…ที่หน้าประตูบ้าน  น้องต่ายยืนยิ้มรอเพื่อน ๆ พร้อมกับพายแอปเปิ้ลถาดใหญ่ที่เธอตั้งใจทำขึ้นเพื่อให้กับเพื่อน ๆ ที่เธอรักแสนรักได้ลองลิ้มชมรสกัน  พายแอปเปิ้ลสีทองส่งกลิ่นหอมอบอวนชวนอร่อยจนเจ้าจ๋อ คุณตูบและช้างน้อยต่างรู้สึกคึกคักด้วยความหิวขึ้นมาทันที  และนอกจากพายแสนอร่อยถามดนั้นแล้ว น้องต่ายยังบรรจงทำสลัดแอปเปิ้ล น้ำแอปเปิ้ลและแอปเปิ้ลสดผ่าเป็นสี่ชื้นเพื่อเตรียมไว้เป็นของหวานสำหรับเพื่อนซี้ทั้งสี่อีกด้วย

และแล้ว…มื้อเย็นแสนอร่อยก็เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความรักของเพื่อน ๆ ทั้งสี่

#นิทานนำบุญ

…………………..

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

พระราชากับอาหารรสวิเศษ

นิทานเรื่อง พระราชากับอาหารรสวิเศษ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาผู้แสนดีพระองค์หนึ่ง ทรงเบื่ออาหารที่พ่อครัวในพระราชวังทำถวาย  ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงสั่งให้ทหารออกไปป่าวประกาศรับสมัครคนดีมีฝีมือให้ลองปรุงอาหารรสวิเศษและส่งเข้ามาประกวดประขันกัน

มีผู้คนมากมายที่สนใจส่งอาหารเข้าประกวด อาหารแต่ละสำรับต่างก็อร่อยล้วนยั่วยวนใจ ด้วยกันทั้งนั้น  นับตั้งแต่อาหารพื้นๆ อย่างไข่เจียวหอมกรุ่น ไปจนถึงอาหารที่หรูหราอย่างหูฉลามชาม ร้อน  แต่หลังจากที่คณะกรรมการซึ่งประกอบไปด้วย พระราชินี, ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และเหล่าพ่อครัว ของพระราชา ได้ลองชิมอาหารสูตรต่างๆ แล้ว  ในที่สุด คณะกรรมการก็คัดเลือกอาหารตำรับพิเศษที่แตกต่างไปจากอาหารที่พระราชาเคยลิ้มลองได้ทั้งหมด 3 สำรับ

อาหารจานแรกเป็นอาหารจากฝีมือของน้องต่าย หนึ่งในสมาชิกเพื่อนซี๊สี่จิ๋วผู้ชอบทำอาหาร เป็นชีวิตจิตใจ  น้องต่ายอบขนมเค้กแครอทที่ทำจากแครอทสดๆ แสนอร่อย แล้วนำส่งเข้าประกวด

นอกจากนี้ น้องต่ายยังปรึกษาช้างน้อยเพื่อนสนิท โดยให้ช้างน้อยช่วยเลือกน้ำหวานที่เหมาะกับพระ ราชา เพื่อให้พระราชาได้ทรงดื่มไปพร้อมๆ กับการกินขนมเค้กแสนอร่อยและเมื่อพระราชาได้ลองชิมขนมเค้กแครอทพร้อมกับดื่มน้ำหวานรส”เจ้าชายน้อย” ที่ช้างน้อยตั้งใจเลือกให้พระราชาผู้แสนดี พระราชาก็หวลรำลึกถึงสมัยที่พระองค์ยังทรงเป็นเด็ก…ยังคงเป็นเจ้าชายตัวน้อยที่โปรดปรานขนมเค้กและขนมหวานต่างๆ   ในที่สุด พระราชาก็ทรงยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

อาหารจานที่สองเป็นอาหารชุดจากสูตรลับตำรับแม่มด ที่แม่มดใจดีบรรจงปรุงขึ้นสำหรับพระ-ราชาผู้แสนดี  แม่มดใจดีทำคุ้กกี้ผีกองกอย, เยลลี่ผีกุ๊กกิ๊ก, ขนมปังหัวกระโหลก, แดร็กคิวล่าปาท่องโก๋ฝอยทองคะนองฤทธิ์, แซนวิชพิศวง,ขนมชั้นน้ำมันพราย, ทับทิมกรอบปอบผีฟ้า และที่ลืมไม่ได้..ส้มตำมัมมี่  แล้วนำทั้งหมดมาจัดเรียงบนจานรูปอสูรกายซึ่งดูค่อนข้างน่ากลัว  แต่กลิ่นหอมของอาหารจาก สูตรลับตำรับแม่มด ทำให้ใครต่อใครแทบจะอดใจเอาไว้ไม่ไหว และเมื่อพระราชาได้ลองชิมอาหารแสน วิเศษนี้แล้ว พระองค์ก็ได้แต่ยิ้มด้วยความปลื้มปิติ ที่ได้ชิมอาหารรสชาติพิเศษ ซึ่งไม่เคยได้ชิมที่ไหนมา ก่อนเลยตลอดชั่วชีวิต

อาหารจานที่สามเป็นฝีมือของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่แสนจะยากจน  จริงๆ แล้วเธอไม่มีเงินพอที่ จะหาซื้อเครื่องปรุงดีๆ เพื่อนำมาใช้ในการทำอาหารเพื่อส่งเข้าประกวด  แต่ด้วยไหวพริบและความตั้งใจจริง  เด็กหญิงจึงเที่ยวขอปันเศษที่เหลือจากการปรุงอาหารของพ่อครัวแม่ครัวที่นำอาหารเข้ามาแข่งขัน แล้วนำเครื่องปรุงเหล่านั้นมาดัดแปลงทำเป็นข้าวปั้นไส้ต่าง ๆ  โดยบรรจงปั้นข้าวปั้นเป็นรูปร่าง ต่างๆ ที่แตกต่างกันถึง 999 แบบ 

ข้าวปั้นแต่ละไส้ให้รสชาติที่แสนวิเศษ  พระราชากินข้าวปั้นทีละคำๆ จนข้าวปั้นหมดไปโดยที่พระองค์ไม่รู้ตัว  ความอร่อยของข้าวปั้นยังคงกรุ่นอยู่ในความรู้สึกของพระราชา อย่างไม่เสื่อมคลาย  พระองค์ทรงอยากกินข้าวปั้นต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้เบื่อ  และก่อนที่พระองค์จะ ขอให้เด็กผู้หญิงตัวน้อยทำข้าวปั้นให้พระองค์อีกเป็นจานที่สอง  พระองค์ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เด็กผู้หญิงตัวน้อยใช้ส่วนผสมอะไรบ้างในการทำข้าวปั้นเลิศรส

เด็กหญิงผู้แสนยากจนเล่าความจริงทั้งหมดให้พระราชาฟัง  เธอกล่าวขอโทษพระราชาที่ไม่ สามารถหาเครื่องปรุงชั้นเลิศเพื่อใช้ในการประกอบอาหารให้แก่พระราชาได้ แต่จากชีวิตที่ยากจนของ เธอทำให้เธอได้เรียนรู้ที่จะดัดแปลงสิ่งที่เหลือใช้ให้กลายเป็นอาหารแสนอร่อย ดังที่พระราชาเพิ่งจะได้ลิ้มลองไป

พระราชาผู้แสนดีพอใจอาหารทั้ง 3 สำรับ พระราชาประทับใจรสชาติของวัยเยาว์ที่หวลกลับคืนมาเมื่อได้ชิมขนมเค้กแครอทและน้ำหวานรส”เจ้าชายน้อย” ที่น้องต่ายนำมามอบให้  พระองค์ชอบรสชาติแสนวิเศษของอาหารจากสูตรลับตำรับแม่มดที่แม่มดใจดีทำถวาย  และพระองค์อิ่มเอมใจที่ได้ ชิมข้าวปั้นที่ทำมาจากเศษอาหาร ซึ่งเป็นผลงานจากความคิดของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ปรุงอาหารได้อย่างชาญฉลาด

พระราชาขอให้น้องต่ายช่วยทำขนมเค้กวันเกิดและส่งมาให้พระองค์ได้ชิมเพื่อหวลรำลึกถึงความหลังเป็นประจำทุกๆ ปี   พระราชาขอให้แม่มดใจดีช่วยทำขนมจากสูตรลับตำรับแม่มดสำหรับ งานสังสรรค์ประจำสัปดาห์ เพื่อให้ทุกๆ คนได้ลิ้มลองรสชาติของอาหารที่น่าประทับใจทุกๆ วันหยุด และที่สำคัญ พระราชาขอให้เด็กผู้หญิงตัวน้อยเข้ามาทำอาหารมื้อเย็นให้พระองค์รับประทานทุก ๆ วันโดยให้นำอาหารที่พ่อครัวทำเหลือจากมื้อเช้าและมื้อกลางวัน มาดัดแปลงเป็นอาหารแสนอร่อย  ซึ่งในงานนี้ พระราชาก็จะมอบเบี้ยรางวัล เพื่อให้เด็กหญิงตัวน้อยได้ใช้เป็นทุนในการศึกษาต่อไปอีกด้วย

ทุกๆ คนต่างพอใจต่อความกรุณาของพระราชา  และในเย็นวันนั้น พระราชาผู้แสนดีก็อาสา เข้าครัวเพื่อปรุงอาหารสูตรของพระองค์เอง ให้ทุกๆ คนได้ลองรับประทานกัน  แม้อาหารของพระราชาจะเป็นอาหารที่แสนธรรมดา แต่ด้วยความที่พระองค์ตั้งใจปรุงมันอย่างเต็มที่  ทุกๆ คนจึงรู้สึกประทับใจ และจดจำรสชาติของอาหารในวันนั้น…ตราบจนถึงทุกวันนี้

#นิทานนำบุญ

…………………………